Category: Uncategory

การบำรุงรักษาเครื่องฟอกอากาศถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้แน่ใจว่าเครื่องทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำความสะอาดอากาศในบ้านของคุณ คำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการดูแลรักษาเครื่องฟอกอากาศของคุณมีดังนี้

1.อ่านคู่มือ เริ่มต้นด้วยการอ่านคำแนะนำของผู้ผลิตและแนวทางการบำรุงรักษาอย่างละเอียด ข้อมูลนี้จะให้ข้อมูลเฉพาะที่เหมาะกับโมเดลของคุณ

2.การทำความสะอาดเป็นประจำ เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่มีแผ่นกรองที่ต้องทำความสะอาดเป็นประจำเพื่อรักษาประสิทธิภาพสูงสุด ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเกี่ยวกับความถี่ในการทำความสะอาด ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการดูดฝุ่นหรือล้างตัวกรอง

3.การเปลี่ยนแผ่นกรอง อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนแผ่นกรองเป็นระยะ ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องฟอกอากาศที่คุณมี โดยทั่วไปตัวกรอง HEPA จะมีอายุการใช้งานประมาณ 6-12 เดือน ในขณะที่ตัวกรองล่วงหน้าอาจต้องเปลี่ยนทุกๆ 3-6 เดือน ปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตเกี่ยวกับระยะเวลาในการเปลี่ยนตัวกรอง

4.ตรวจสอบแผ่นกรองล่วงหน้า หากเครื่องฟอกอากาศของคุณมีแผ่นกรองล่วงหน้า ให้ตรวจสอบเป็นประจำและทำความสะอาดหรือเปลี่ยนตามความจำเป็น แผ่นกรองชั้นแรกจับอนุภาคขนาดใหญ่ขึ้น ช่วยยืดอายุของแผ่นกรองหลัก

5.ตรวจสอบความเสียหาย ตรวจสอบเครื่องฟอกอากาศของคุณเป็นประจำเพื่อดูความเสียหายหรือการสึกหรอ ตรวจสอบสายไฟ ปลั๊ก และตัวเครื่องว่ามีปัญหาหรือไม่ หากคุณสังเกตเห็นความเสียหายใดๆ โปรดติดต่อผู้ผลิตเพื่อขอตัวเลือกการซ่อมหรือเปลี่ยนทดแทน

6.ทำความสะอาดภายนอก เช็ดด้านนอกของเครื่องฟอกอากาศเป็นประจำเพื่อขจัดฝุ่นและสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ ใช้ผ้านุ่มชุบน้ำหรือน้ำยาทำความสะอาดสูตรอ่อน

7.ตรวจสอบการไหลเวียนของอากาศ ตรวจสอบการไหลเวียนของอากาศของเครื่องฟอกอากาศของคุณเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ถูกกีดขวางด้วยเฟอร์นิเจอร์หรือวัตถุอื่นๆ การไหลเวียนของอากาศที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการฟอกอากาศอย่างมีประสิทธิภาพ

8.Keep It Power ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องฟอกอากาศของคุณเชื่อมต่อกับพลังงานเสมอเมื่อใช้งาน บางรุ่นอาจมีไฟแสดงสถานะหรือสัญญาณเตือนเพื่อเตือนคุณเมื่อจำเป็นต้องบำรุงรักษาหรือเมื่อจำเป็นต้องเปลี่ยนตัวกรอง

9.ประสิทธิภาพการตรวจสอบ ใส่ใจกับประสิทธิภาพของเครื่องฟอกอากาศของคุณ หากคุณสังเกตเห็นว่าคุณภาพอากาศหรือการไหลเวียนของอากาศลดลง อาจถึงเวลาที่ต้องทำความสะอาดหรือเปลี่ยนแผ่นกรอง

10.การบริการอย่างมืออาชีพ พิจารณาการบริการระดับมืออาชีพสำหรับเครื่องฟอกอากาศของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณประสบปัญหาทางเทคนิคใดๆ หรือหากมีการใช้งานเป็นระยะเวลานานโดยไม่มีการบำรุงรักษา

การปฏิบัติตามเคล็ดลับการบำรุงรักษาเหล่านี้ คุณสามารถทำให้เครื่องฟอกอากาศของคุณทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยอากาศภายในอาคารที่สะอาดและดีต่อสุขภาพยิ่งขึ้น

มารยาทบนโต๊ะอาหารถือเป็นแนวทางทางสังคมในการปฏิบัติตนขณะรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่เป็นกลุ่ม ทั้งการใช้ภาชนะที่เหมาะสม มารยาทในการรับประทานอาหาร และการปฏิบัติทั่วไปที่โต๊ะอาหาร

1.การปฏิบัติทั่วไป

ระวังโทรศัพท์ของคุณ: ปิดเสียงโทรศัพท์ของคุณหรือเก็บให้พ้นสายตาระหว่างรับประทานอาหาร

รักษาท่าทางที่ดี: นั่งตัวตรงและหลีกเลี่ยงการนั่งหลังงอ

ก้าวตัวเอง: รับประทานอาหารในระดับปานกลาง โดยคำนึงถึงคนอื่นๆ ที่โต๊ะ

การสนทนา: มีส่วนร่วมในการสนทนาที่น่ารื่นรมย์ แต่หลีกเลี่ยงการพูดเต็มปาก

ขอบคุณเจ้าภาพ: แสดงความขอบคุณต่อบุคคลที่จัดเตรียมหรือเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร

2.การใช้ภาชนะ

การจัดวางอุปกรณ์: โดยทั่วไปจะจัดวางเครื่องใช้ต่างๆ ตามลำดับการใช้งาน โดยเริ่มจากด้านนอกและเคลื่อนเข้าหาจาน

มีดและส้อม: ถือส้อมไว้ในมือซ้ายและถือมีดไว้ทางขวา หั่นอาหารของคุณเป็นชิ้นที่สามารถจัดการได้ จากนั้นเปลี่ยนส้อมไปทางขวาเพื่อรับประทาน

ซุป: เอียงชามออกจากตัวคุณเล็กน้อยแล้วจิบจากด้านข้างของช้อน ไม่ใช่ปลายช้อน

3.มารยาทในการรับประทานอาหาร

เคี้ยวโดยปิดปาก: นี่เป็นกฎพื้นฐานของมารยาทบนโต๊ะอาหาร

กัดคำเล็กๆ น้อยๆ: สิ่งนี้ช่วยให้สนทนาได้ง่ายขึ้นและป้องกันไม่ให้คุณดูยุ่งเหยิง

อย่าพูดจนเต็มปาก: รอจนกว่าคุณจะกลืนอาหารก่อนพูด

การส่งต่ออาหาร: เคลื่อนจานเสิร์ฟไปทางขวา และอย่าเอื้อมมือข้ามโต๊ะเพื่อหาอะไรบางอย่าง

อุปกรณ์สำหรับวาง: เมื่อคุณไม่ได้ใช้อุปกรณ์เป็นประจำ ให้วางอุปกรณ์ไว้ด้วยกันบนจาน ไม่ใช่บนโต๊ะ

4.จดจำ

มารยาทบนโต๊ะอาหารอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับวัฒนธรรมและสถานการณ์
เมื่อไม่แน่ใจ ควรสังเกตพฤติกรรมของผู้อื่นและปฏิบัติตามอย่างเหมาะสมเสมอ
สิ่งสำคัญที่สุดของมารยาทบนโต๊ะอาหารคือการคำนึงถึงผู้อื่น และสร้างประสบการณ์การรับประทานอาหารที่น่าพึงพอใจสำหรับทุกคน

จากปัญหาคาราคาซังเกี่ยวกับราคาหวยรัฐบาลที่ชาวบ้านไม่เคยซื้อได้ในราคา 80 บาทสักที รัฐบาลจึงตัดสินใจออกสลากออนไลน์ที่สามารถซื้อขายได้ผ่านแอพพลิเคชั่นเป๋าตัง โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาราคาหวย และเพิ่มช่องทางการซื้อขายหวยให้มากขึ้น แต่รู้ไหมว่านอกจากเรื่องราคาแล้ว การซื้อหวยออนไลน์ยังมีข้อดีอื่นอีกมากมายที่ทำให้การซื้อขายหวยสะดวกสบายขึ้น

• ซื้อหวยได้ในราคา 80 บาทแน่นอน

แน่นอนว่าประโยชน์หลักของหวยรัฐบาลออนไลน์คือการควบคุมราคา พอกันทีกับการโก่งราคาเกินมาตรฐานของร้านขายหวย การซื้อขายผ่านแอพพลิเคชั่นถูกกำหนดราคาไว้ที่ 80 บาท และทุกคนสามารถซื้อได้ในราคานี้

• เลขเยอะ เลือกสะดวกบนแอปพลิเคชั่น

เคยเสียเวลาหลายนาทีในการก้ม ๆ เงย ๆ หน้าแผงหวยจนเหงื่อออกหน้ามืดกันบ้างไหม การซื้อหวยออนไลน์จะแก้ปัญหาน่าเบื่อหน่ายเหล่านี้ เพราะทุกคนสามารถเลือกหาเลขที่ถูกใจได้บนมือถือที่บ้านของตัวเอง คร่าวนี้จะเลือกจะเล็งนานแค่ไหน จะนั่งเลือกซื้อหาบนโซฟาในห้องแอร์ที่บ้านยังได้ แถมใช้เวลาเลือกได้นาน ไม่ต้องเกรงใจชาวบ้านที่มาต่อแถวซื้อหวยอีกด้วย

• ไม่ต้องกลัวสลากหาย

สลากรัฐบาลจริง ๆ คือกระดาษใบหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าถูกรางวัลขึ้นมา มันกลับมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นหากทำสลากหายขึ้นมา คงไม่พ้นน้ำตานองหน้าแน่นอน แต่ถ้าซื้อหวยออนไลน์ การซื้อขายทั้งหมดจะถูกเก็บเป็นหลักฐานบนแอพพลิเคชั่น ทำให้ไม่ต้องกังวลมานั่งหาวิธีเก็บกระดาษใบเล็ก ๆ อีกต่อไป เพียงแค่หยิบมือถือขึ้นมา สามารถเปิดดูหน้าสลากได้ในทันที

• มีระบบตรวจสอบรางวัล

การตรวจรางวัลของสลากออนไลน์สามารถทำได้สะดวกและรวดเร็ว โดยมีบริการแจ้งเตือนให้กับผู้ซื้อได้ตรวจรางวัลกันอย่างทันท่วงที มีการแจ้งเตือนตอนถูกรางวัล แถมยังสามารถขอขึ้นรางวัลบนแอพพลิเคชั่นเป๋าตังได้อีกด้วย โดยสามารถรับโอนเงินผ่านธนาคารกรุงไทย หรืออีกช่องทางคือไปขึ้นรางวัลด้วยตัวเองที่กองสลาก ยกเว้นว่าจะดวงเฮงสุด ๆ จนถูกรางวัลที่ 1 กรณีนี้จะต้องไปขึ้นรางวัลที่กองสลากเท่านั้น เรียกว่าครบจบทุกขั้นตอนในแอปเดียว

• แอปพลิเคชั่นน่าเชื่อถือ

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้การซื้อหวยออนไลน์เป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำคัญคอหวยทั้งหลายคือความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือของตัวแอพพลิเคชั่น เพราะสิ่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ออกโดยรัฐบาลจึงรับประกันได้ว่าปลอดภัยและไว้วางใจได้ ทุกระบบตรงไปตรงมาและไม่มีคนกลางมาทำให้ปวดหัว

ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการซื้อหวยออนไลน์ที่น่าจะถูกใจสายเล่นหวยอย่างแน่นอน เพราะทำให้การซื้อสลากกลายเป็นกิจกรรมที่สามารถทำได้ที่บ้าน สะดวก รวดเร็วและยังรับประกันความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี ดังนั้นใครที่สนใจซื้อหวยออนไลน์สามารถซื้อได้บนแอปเป๋าตังบนมือถือของคุณได้เลย

รสหวานคือสิ่งที่ทำให้เราสดชื่น ยิ่งเป็นเครื่องดื่มเย็น ๆ ด้วยแล้วล่ะก็ใคร ๆ ก็ต่างขาดมันไม่ได้ โดยเฉพาะคนที่ติดหวานอยากลดน้ำหนัก การได้จิบสักนิดก็ชื่นใจแล้ว แต่ก็มีความกังวลว่าหากดื่มมากไปจะทำให้อ้วนหรือไม่ ซึ่งหากทานในปริมาณมาก แม้ว่าจะเป็นความหวานธรรมชาติก็ส่งผลกระทบทำให้น้ำหนักขึ้นได้ แต่ก็ใช่ว่าจะทานไม่ได้ เราไปดูกันว่าความหวานจากอะไรที่ทานได้แบบไม่อ้วน 

1.น้ำผึ้ง ควรเป็นนำผึ้งที่ไม่มีสารเจือปนใด ๆ จึงจะดีต่อร่างกาย เพราะในน้ำผึ้งจะมีวิตามินและเกลือแร่ ส่งผลให้น้ำตาลในเลือดคงที่และย่อยสลายง่าย ในเรื่องของปริมาณให้จำไว้เลยว่าไม่เกิน 1 ช้อนชาให้พลังงาน 45 แคลอรี แต่หากใส่มากกว่านั้น 5-6 ช้อนจะให้พลังงานเทียบเท่าข้าวหนึ่งมื้อเลยล่ะ

2.อินทผลัม เป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากและในเรื่องความหวานมีน้ำตาลในตัวอยู่แล้ว สามารถทานได้แม้ว่าจะลดน้ำหนักอยู่ก็ตาม เพราะเต็มไปด้วยไฟเบอร์ วิตามินและเกลือแร่ 

3.น้ำหวานจากเกสรดอกไม้ มีความหวานสูงมากได้จากธรรมชาติได้จากต้นว่านหางจระเข้ แต่ว่าจะไม่สามารถทานได้ เพราะความหวานสูงนี่แหละที่ทำให้ใส่ในปริมาณน้อยก็ได้รสชาติหวานนั้นเอง

4.กล้วย เป็นอีกหนึ่งความหวานที่ได้จากธรรมชาติ ใช้โดยการบดใส่ในขนมหรือทำสมูทตี้ก็ได้ ให้พลังงาน อิ่มท้องและมีธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โปรตีน

7.เมเปิ้ลไซรัป เป็นความหวานที่พิเศษได้ฉายาว่า ” น้ำทองคำ ” ของชาวแคนาดา เพราะได้จากธรรมชาติ ( ออร์แกนิก ) 100% มีความหวานสูงมากกว่าน้ำตาลอ้อยหลายเท่า แคลอรีน้อยกว่า 

8.หญ้าหวาน เป็นตัวให้ความหวานจากธรรมชาติเช่นกัน ซึ่งจะมีลักษณะเป็นผงแป้งสกัดมาจากหญ้าหวาน พืชแถบอเมริกาใต้ ใช้แทนน้ำตาลได้ 100% ให้พลังงาน 0 แคลอรี ถือว่าเป็นสารให้ความหวานที่น่าสนใจทีเดียว

เลือกสารให้ความหวานอย่างไรให้ตอบโจทย์

สในส่วนนี้จะต้องดูข้างฉลากเพราะจะมีการแจ้งรายละเอียดไว้อย่างชัดเจนและต้องอ่าน ทำความเข้าใจเพราะในบางแบรนด์ชื่อสินค้าเพียงอย่างเดียว ก็ไม่ได้เป็นตัวการันตีสินค้าเหล่านั้นเป็นไปตามชื่อแบรนด์ เช่น ชื่อสินค้า “น้ำตาลหญ้าหวาน สารสกัดจากหญ้าหวานธรรมชาติ 100%” หากอ่านผ่าน ๆ อาจเข้าใจได้ว่าน้ำตาลนี้ทำมาจากหญ้าหวาน 100% ซึ่งควรจะเป็นสินค้าใช้เป็นหญ้าหวานจากธรรมชาติ 100%

อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นตัวทำความหวานจากธรรมชาติหรือแคลอรีน้อย ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าผลเสีย น้ำหนักไม่เพิ่มตามมาในภายหลัง

สำหรับคุณพ่อ คุณแม่ มือใหม่นั้น คงตกใจไม่ได้ หากลูกของเรามีอาการผิดปกติ ซึ่งหากทำให้เราตกใจและวิตกกังวลได้ วันนี้จึงมีสาระดีๆ สำหรับเด็กทารกวัยแรกเกิดมาเล่าให้ทุกคนได้หายห่วง

ภาวะปกติที่พบในเด็กทารกวัยแรกเกิด

1.การแหวะนม เนื่องจากหูรูดของเด็กทารกวัยเกิดยังไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ทารกมีอาการแหวะนม ออกทางมุมปากและจมูกได้ และอาการนี้จะค่อย ๆ หายไปเมื่อเด็กโตขึ้น

2.การสะอึก พบได้ในทารกวัยแรกเกิดทุกราย เกิดเนื่องจากการทำงานของกะบังลมยังไม่ทำงานเต็มที่ สามารถแก้โดยการอุ้มนั่ง หรือพาดบ่าทำการไล่ลม ไม่จำเป็นต้องให้ดื่มน้ำ และอาการเหล่านี้จะลดลงไปตามลำดับ

3.ลิ้นเป็นฝ้าขาว พบปกติในทารกแรกเกิดทุกราย สามารถมองเห็นเป็นผ้าขาว บาง ๆ กระจาย หากทารกมีการดูดนมหรือมีท้องเสียร่วมด้วย แสดงว่าอาจมีการติดเชื้อในช่องปาก

4.หายใจเสียงดังครืดคราด เป็นอาการที่พบได้บ่อย ทำให้พ่อ แม่เข้าใจว่าลูกอาจเป็นหวัด แต่ที่จริงแล้วคืออาการปกติ ไม่จำเป็นต้องให้การรักษาใด ๆ และจะมีอาการหายไปเมื่อทารกอายุ 2-3 เดือน

5.อาการจามร่วมกับน้ำมูกไหล อาการเหล่านี้มักทำให้พ่อแม่ รำคาญ แต่ที่จริงแล้ว คืออาการปกติ และมักหายได้เอง โดยไม่ต้องรักษา

6.การสะดุ้งหรืออาการผวา การที่ทารกมีอาการตื่นตัวเมื่อเสียงดัง โดยการกางแขนออกนั้น ถือว่าเป็นอาการปกติและแสดงถึงระบบประสาทที่ทำงานปกติ

7.ขาโก่ง ทารกแรกเกิดมักจะมีอาการขาโก่งตามธรรมชาติ ผู้ปกครองไม่ควรตื่นตกใจ และไม่ควรทำการบิดขา เพราะจะทำให้ทารกเกิดอาการบาดเจ็บได้

8.ปานสีเขียวอมฟ้า จะมีมากในทารกชาวเอเชีย และมักจะหายไปเอง

9.ผิวหนังลอก อาการที่มักจะเกิดกับทารกที่คลอดก่อนกำหนด หรือทารกที่คลอดก่อนกำหนด แต่ก็สามารถพบได้ที่ทารกที่มีน้ำหนักตัวปกติในสัปดาห์แรก สาเหตุมาจากหนังกำพร้าที่หมดอายุ และจะมีผิวใหม่ขึ้นในสองสัปดาห์

10.ผื่นแดงตามตัว ทารกแรกเกิดบางคนนั้นมักจะมีผื่นแดงตามตัว พบกระจายได้ทั่วไป มักจะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ และเปลี่ยนที่ไปมา หรือบางครั้งอาจจะเห็นเป็นตุ่มนูนสีขาว มักเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ และมักหายไปเองในสองถึงสามสัปดาห์ ไม่ต้องรักษา และไม่เป็นอันตรายต่อทารก

11.นมเป็นเต้า สามารถพบได้ในทั้งในทารกเพศชายและเพศหญิง และบางรายจะมีน้ำนมออกมาด้วย สาเหตุมาจาก ฮอร์โมนจากแม่ผ่านสู่ลูกขณะอยู่ในครรภ์ จึงไม่ควรบีบเพราะอาจทำให้เกิดความอักเสบได้

นอกจากของขวัญที่มีการแลกเปลี่ยนกันแล้วไม่ว่าจากที่โรงเรียน ที่ทำงานหรือคนในครอบครัวแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่คนมักจะให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การตั้งเป้าหมายชีวิตว่าจะทำอะไรดีเป็นการต้อนรับและเริ่มต้นปีใหม่ ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะเริ่มทำอะไรอย่างจริงจัง ฉะนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวมความตั้งใจที่คนนิยมทำมากที่สุดมาให้คุณได้นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ

ลดหุ่นและลดน้ำหนัก สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญและถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ทุนคือร่างกาย หากแข็งแรงดี มีเรี่ยวแรงแน่นอนจะนำไปสู่การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสิ่งที่มุ่งหวัง อย่างเช่น การสร้างรายได้ สร้างครอบครัว สร้างฐานะ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้กำลังกายและใจ ทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ

มีเงินเก็บและอดออม อย่างที่บอกไปว่าคนส่วนใหญ่จะถือว่าปีใหม่เป็นวันแห่งการเริ่มต้น ฉะนั้นบางคนจึงเลือกเวลานี้ในการอดออม เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี ถือเป็นการจำกัดระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน แต่หากสามารถทำได้จะทำให้เห็นว่าเวลาเท่านี้ เมื่อประหยัดแล้วจะสามารถสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำได้มากทีเดียว

สร้างกิจการเป็นของตัวเอง สิ่งนี้มาจากความตั้งใจและอาจจะมีเรื่องของดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะบางคนเมื่อถูกทักว่าเริ่มต้นทำธุรกิจในช่วงปีใหม่จะปัง ร่ำรวย เป็นเศรษฐี ทำให้คนเหล่านั้นมีแรงฮึดที่จะทำอะไรบางอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น ซึ่งควรมีการวางแผนให้ดี แม้ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดแต่มันจะเป็นบทเรียน

ตั้งเป้าหมายเดินทางท่องเที่ยว ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวทำให้ผัดวันประกันพรุ่ง จนร่างกายไม่ได้พักผ่อน ฉะนั้นจึงได้ถือฤกษ์นี้ในการตั้งเป้าหมาย ให้ตัวเองและคนรอบข้างได้ผ่อนคลาย ทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ซึ่งอาจจะตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าปีนี้จะเที่ยวกี่ครั้ง ที่ไหนบ้าง

จัดการชีวิตให้เป็นระเบียบมากขึ้น หลายคนใช้ชีวิตในแต่ละวันแบบยุ่งเหยิงโดยที่ไม่รู้ตัวและไม่คิดจะปรับ จึงถือช่วงปีใหม่เป็นการเริ่มต้น เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้มีระเบียบมากขึ้น หากทำได้คุณจะมีเวลาทำอะไรเพิ่มหลายอย่าง

ปีใหม่นี้หากคุณกำลังวางแผนหรือยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรดี ข้อมูลในวันนี้จะช่วยเป็นแนวทางให้คุณได้ ซึ่งแต่ละข้อก็ไม่ใช่เรื่องอยากอะไร หากทำได้ก็จะส่งผลดีต่อตัวเองและคนรอบข้างไม่น้อย ที่สำคัญอาจทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ได้ อย่างไรใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หากทำได้นั้นถือเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมเลยก็ว่าได้

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้เหงาและเพิ่มความสดใสในชีวิตประจำวัน แต่แน่นอนว่าสัตว์แสนน่ารักเหล่านั้นมาพร้อมความรับผิดชอบที่ต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ยิ่งสำหรับคนที่อยู่อาศัยในคอนโดกลางเมือง ยิ่งต้องพยายามวางแผนการนำสัตว์มาเลี้ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งหนึ่งวิธีลดปัญหาต่าง ๆ จากการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดคือการเลือกชนิดของสัตว์เลี้ยงให้เหมาะสม โดยควรมีขนาดเล็กและลักษณะนิสัยเรียบร้อยอย่างสัตว์ต่อไปนี้

1.แมว
แมวเป็นสัตว์ฉลาดและน่ารัก และใช้พื้นที่ไม่เยอะในการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้เจ้าของผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นสัตว์สะอาด มีกลิ่นรบกวนน้อยมากถ้าทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ต้องพยายามเลี้ยงในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทและพยายามทำความสะอาดขนฟู ๆ ของน้องแมวอย่างสม่ำเสมอ

2.สุนัขพันธุ์เล็ก
สุนัขนับเป็นเพื่อนคู่ใจมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะเป็นสัตว์ที่ฉลาด สามารถฝึกให้ทำตามคำสั่งต่าง ๆ ได้ง่าย สุนัขที่ควรเลี้ยงในคอนโดควรเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิสุห์ ปอมเมอเรเนียน ชิวาวา นอกจากนั้นต้องพยายามเลือกสุนัขที่เห่าเสียงไม่ดังมาก จะได้ไม่รบกวนเพื่อนบ้านมากเกินไป

3.หนูประเภทต่าง ๆ
หนูเป็นอีกสัตว์เลี้ยงยอดนิยมเพราะเลี้ยงง่ายภายในกรง ค่อนข้างเงียบ ทานอาหารน้อย มีขนาดตัวเล็ก การดูแลทำความสะอาดทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน แถมมีรูปลักษณ์ที่น่ารักนุ่มฟู แต่หนูเป็นสัตว์ที่เครียดง่าย อาจจะมีอาการเบื่อจนกัดแทะสิ่งของในกรง หรือมีอาการเฉาซึม ดังนั้นต้องคอยสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยปรับสิ่งแวดล้อมให้ตรงกับความต้องการของหนู

4.ปลาสวยงาม
ปลาเป็นสัตว์น้ำที่ยอดเยี่ยมและสวยงาม เหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดเป็นอย่างมาก แถมมีหลายสีหลายพันธุ์ แต่ปลาค่อนข้างอ่อนไหวกับอุณหภูมิของน้ำ และความสะอาดของตู้ปลา ดังนั้นต้องมั่นใจว่าจะสามารถดูแลตู้ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได้ตลอดเวลา

5.เต่าญี่ปุ่น
อีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงยอดฮิตในปัจจุบันคือเต่าญี่ปุ่นนั่นเอง เต่านับเป็นสัตว์มงคลที่มีอายุขัยยาวนาน แถมเลี้ยงง่ายมาก ๆ เพียงแค่ต้องมีพื้นที่ในการอาบแดดรับแสงอย่างสม่ำเสมอเพราะเต่าเป็นสัตว์เลือดเย็น จึงต้องการแสงแดดมาเพิ่มอุณหภูมิร่างกายและช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ อาหารการกินก็สามารถหาได้ง่ายตามร้านสัตว์ทั่วไป ไม่ค่อยมีเสียงและกลิ่นรบกวน จึงเหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดอย่างยิ่ง

เมื่อได้เห็นรายชื่อสัตว์ที่เลี้ยงได้ในคอนโดแล้ว ทุกคนคงเจอสายพันธุ์ที่ถูกใจแล้วอย่างแน่นอน แต่อย่ารีบร้อนไป ใครที่กำลังสนใจจะหาสัตว์ตัวน้อยน่ารักมาเลี้ยง อย่าลืมสอบถามกฎระเบียบของที่อยู่อาศัยก่อน และอย่าลืมหาความรู้ ทำความเข้าใจสายพันธุ์ของน้อง ๆ ให้ดี เพื่อที่จะสามารถดูแลพวกเขาอย่างดีไปได้ตลอดชีวิตนั่นเอง

อาการเลือดกำเดาไหล คงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และส่วนใหญ่คงไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ถ้าลองศึกษาให้เข้าใจและรู้เท่าทันจะพบว่าอาการ “เลือดกำเดาไหล” มีอันตรายซ่อนอยู่ อาการนี้คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และสามารถส่งสัญญาณอะไรได้บ้าง ไปทำความรู้จักกัน
“เลือดกำเดาไหล (Epistaxis)” เป็นอาการเลือดออกทางจมูก โดยมาจาก 2 ส่วน คือ โพรงจมูกด้านหน้า และด้านหลังโพรงจมูกซึ่งมักจะพบอาการรุนแรงถึงขั้นอันตรายมากกว่า อาการเลือดกำเดาไหลมีสาเหตุมาจากอะไร และส่งสัญญาณอันตรายอะไรได้บ้าง

1.โพรงจมูกได้รับการรบกวน
ในโพรงจมูกมีเส้นเลือดฝอยอยู่ซึ่งปกติจะไม่แตกหรือฉีกขาดง่าย ๆ แต่หากมีการแคะจมูกด้วยเล็บแหลมคม,ได้รับแรงกระแทกบริเวณจมูก เช่น หกล้ม โดนชก กระแทกของแข็งแรงๆ ก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยแตก ฉีกขาดได้ อาการนี้เลือดจะไหลไม่มาก และไหลไม่นาน ประคบหรือนอนราบสักพักก็จะหายไป

2.ความผิดปกติของร่างกาย
หมายถึงการเป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ หรือในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด นอกจากนี้การขาดวิตามินเค ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลได้เร็ว ก็ส่งผลให้เลือดกำเดาไหลได้ด้วยเช่นกัน มักพบในผู้ที่ทานยาปฏิชีวนะที่ไปทำลายแบคทีเรียในลำไส้ทำให้การสร้างวิตามินเคลดลง การทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลนาน ๆ ทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ในบางรายก็เกิดจากความดันอาการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น ขณะโดยสารเครื่องบิน

3.โพรงจมูกอักเสบ
มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส เป็นภูมิแพ้ที่อาจทำให้เกิดอาการจามรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไซนัสอักเสบ ใช้เครื่องอัดอากาศขณะหลับ รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งจัด ชื้น ร้อนจัดก็ส่งผลกระตุ้นอาการภูมิแพ้จนทำให้โพรงจมูกอักเสบได้ด้วยเช่นกัน จะมีอาการคัด แน่นจมูกข้างเดียวหรือสองข้าง อาจมีหูอื้อ ปวดหัวเป็นไข้ร่วมด้วย จะมีเลือดไหลปนออกมากับน้ำมูก

4.เป็นโรคอันตราย
มักจะเกิดในส่วนหลังของโพรงจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่มีสารพิษ ฝุ่นควันตกค้างได้ง่าย ได้แก่ วัณโรคในโพรงจมูก, เนื้องอกในโพรงจมูก โรคนี้จัดเป็นโรคร้ายแรงสำหรับเด็กที่มักพบในเด็กชายช่วงอายุประมาณ 7-19 ปี, มะเร็งโพรงจมูก มีอาการคล้ายไข้หวัดจึงอาจเข้าใจผิดว่าเป็นหวัดและปล่อยให้เรื้อรังจนถึงขั้นรุนแรง

5.ความผิดปกติทางกายวิภาคในโพรงจมูก
ตัวอย่างเช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด, กระดูกงอกผิดที่ รวมถึงมีรูทะลุทำให้อากาศไม่สมดุล ซึ่งเลือดกำเดาจะไหลซ้ำ ๆ ข้างเดียวในตำแหน่งที่กระดูกผิดปกติ

หากมีอาการเลือดกำเดาไหลจากจมูกข้างเดียวบ่อย ๆ มีปริมาณมาก เป็นลิ่มเลือด หรือมีอาการไหลต่อเนื่องนานเป็น 10 นาที อาจมีอาการคัดจมูก หูอื้อ เหมือนจะเป็นหวัดแต่ไม่หายสักทีแถมมีเลือดปนออกมากับน้ำมูก หรือรู้สึกว่ามีก้อนในคอหรือโพรงจมูก หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป