บล็อก เรื่องเล่า ตำนานเล่าขาน กีฬา และประวัติศาสตร์

Category: SEO

เตือน 5 สิ่งห้ามทำใน Google Ads ถ้าไม่อยากถูกแบน

ปัจจุบัน ธุรกิจออนไลน์จำนวนมากมักทำการตลาดบน Google ด้วยการซื้อโฆษณาหรือที่เรียกว่า Google Ads ซึ่งเป็นการทำให้เว็บไซต์หรือร้านค้าออนไลน์ปรากฏในหน้าแรกของการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ใช้งานอีกไม่น้อยที่เผลอลงโฆษณาที่ละเมิดข้อห้ามของ Google ซึ่งนอกจากจะทำให้การลงโฆษณาไม่ได้ผลตามที่ต้องการแล้ว ยังอาจทำให้ถูก Google ลดความน่าเชื่อถือในการจัดอันดับบนหน้าค้นหาอีกด้วย ซึ่ง 5 สิ่งที่ห้ามทำเมื่อลงโฆษณา Google Ads มีอะไรบ้างนั้น มาดูกันทีละข้อ ดังนี้

1. ห้ามลดทอนคุณค่าหรือ “บลัฟ” คู่แข่ง
พูดง่าย ๆ ว่าห้าม “ข่ม” คู่แข่งด้วยข้อความโฆษณา ห้ามบอกว่าสินค้าหรือบริการของคุณดีที่สุดในโลกหรือดีที่สุดในประเทศ รวมถึงห้ามบอกว่าสินค้าหรือบริการของคุณดีกว่าคู่แข่งตรง ๆ เช่น หากคุณขายครีมล้างหน้า ก็ห้ามโฆษณาว่า ครีมล้างหน้าของคุณดีกว่าแบรนด์ XXX หรือครีมล้างหน้าของคุณดีที่สุดในประเทศ XXX เพราะข้อความดังกล่าวไม่ใช่ข้อเท็จจริง แต่หากสินค้าของคุณได้รับรางวัลหรือมีผลการวิจัยต่าง ๆ รองรับก็สามารถแสดงในข้อความโฆษณาได้

2. ห้ามอวดอ้างสรรพคุณเกินจริง
ตัวอย่าง เช่น หากคุณขายโลชั่นบำรุงผิว ข้อความโฆษณาที่คุณลงบน Google Ads ห้ามลงข้อความทำนอง “ผิวขาวภายใน 7 วัน” ถึงแม้ว่าผลิตภัณฑ์ของคุณจะดีจริง ทำให้ผิวขาวได้จริงภายใน 7 วัน คุณก็ต้องมีเอกสารจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหรือสถาบันวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่น่าเชื่อถือยืนยันกับทาง Google แต่หากเป็นเพียงคำยืนยันจากปากของคุณ Google ก็จะไม่รับฟังและปรับลดการมองเห็นโฆษณาของคุณนั่นเอง

3. ห้ามใส่เครื่องหมาย ! เกิน 1 ครั้ง
ถือเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เพราะ Google ห้ามลงข้อความโฆษณาที่มีเครืองหมายตกใจหรือ ! มากกว่า 1 ครั้ง เช่น หากคุณจะลงข้อความว่า “โปรโมชันพิเศษ!!!” ระบบจะไม่อนุมัติ คุณทำได้เพียงลงข้อความว่า “โปรโมชันพิเศษ!” ระบบจึงจะอนุมัติการโฆษณา

4. ห้ามใส่ลูกเล่น “คลิกที่นี่”
สำหรับใครที่เคยชินกับการใช้เทคนิคใส่ข้อความสะกดจิตหรือ Call to Action อาจลำบากกันสักเล็กน้อย เพราะ Google ห้ามใส่คำว่า “คลิกที่นี่” บนข้อความโฆษณาเด็ดขาด แต่ถึงอย่างนั้นคุณก็สามารถเลี่ยงไปใช้คำอื่นที่ใกล้เคียงกันได้ เช่น ลงทะเบียนทันที, สมัครด่วน, รับสิทธิ์ทันที ฯลฯ

5. ห้ามพาดพิงชื่อแบรนด์อื่น ๆ
หากคุณต้องการจะสื่อว่าสินค้าหรือบริการของคุณเหนือกว่าแบรนด์คู่แข่งเจ้าอื่น ๆ จะไม่สามารถลงข้อความโฆษณาที่พาดพิงแบรนด์อื่น ๆ หรือแม้แต่มีชื่อแบรนด์อื่นปรากฎในโฆษณาของคุณได้ เช่น คุณไม่สามารถลงข้อความว่า “อาหารเสริมของเราดีกว่าแบรนด์ XXX” หรือ “โรงแรมของเราราคาถูกกว่าโรงแรม XXX” ได้ เพราะระบบจะไม่อนุมัติ แถมยังจะระงับโฆษณาของคุณอีกต่างหาก ดังนั้น คุณจึงทำได้แค่พูดถึงแบรนด์ของตัวเองเท่านั้น

แม้แต่ Google Ads ที่เราต้องจ่ายค่าโฆษณาให้ ก็ยังมีกฎและกติกาที่ต้องปฏิบัติตาม มิเช่นนั้นก็จะไม่ได้เข้าใช้งานโปรแกรมโฆษณาออนไลน์ที่ดีที่สุดแห่งยุคนี้ ดังนั้นหากต้องการใช้งานได้ตลอด ไม่ทำให้ธุรกิจต้องสะดุด ก็ทำตามแนวทางที่แนะนำและยึดหลักความตรงไปตรงมาจะดีที่สุด

สิ่งที่สามารถเรียนรู้ได้จาก SERP เพื่อให้ทำเว็บไซต์มี SEO ดีขึ้น

SERP หรือ Search Engine Result Page คือหน้าจอที่แสดงผลการสืบค้นจาก Google ซึ่งสามารถใช้ได้กับ keyword ที่หลากหลายในทุกประเภทธุรกิจ เช่น การโรงแรม ร้านอาหาร ร้านขายสินค้าแฟชั่น กีฬา ฯลฯ ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ

ผู้ที่ทำธุรกิจออนไลน์และต้องการให้ธุรกิจประสบความสำเร็จด้าน SEO จนถูกแสดงอยู่ในหน้าแรกของ SERP google เพื่อสร้างความจดจำและเพิ่มยอดขายได้ ต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ จาก SERP ดังนี้

ขอยกตัวอย่างว่า คุณกำลังเปิดเว็บไซต์กระตุ้นยอดขายให้ร้านแกงในจังหวัดพิษณุโลก ก็ต้องเริ่มจากศึกษาสถิติการใช้คำค้นหา จากเครื่องมือที่คนนิยมทั่วโลก คือ Google Search Console

และสมมติว่า คำว่า ร้านข้าวแกงอร่อยพิษณุโลก เป็นคำที่มีตัวเลขการสืบค้นสูงและมีประสิทธิภาพในการแข่งขันมากที่สุดในช่วงเวลานี้ คุณจึงเลือกคำนี้มาสร้างบทความ SEO เพื่อลงในเว็บไซต์ ก็เท่ากับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการทำให้เว็บไซต์คุณติดอันดับต้น ๆ ของ SERP ได้แล้ว

อย่างไรก็ตาม เราขอแนะนำว่า การทำบทความ SEO ที่มีประสิทธิภาพสูง ควรศึกษาแนวทางจากเว็บไซต์อื่น ๆ ที่อยู่ในหน้าแรกของ SERP ที่ใช้ keyword เดียวกับที่คุณกำลังสนใจ

เช่น คำว่า ร้านข้าวแกงอร่อยพิษณุโลก หากพิมพ์ดูในช่อง search ของ www.google.co.th จะพบว่ามีเว็บไซต์ของร้านอาหารขึ้นมามากมาย ซึ่งร้านเหล่านี้ โดยเฉพาะอันดับที่ 1-5 จะมีคนรู้จักจำนวนมากและมียอดขายเพิ่มสูงขึ้นหลายเท่าตัวหลังการถูกจัดอันดับให้อยู่ด้านบนต่อเนื่องหลายเดือน

สิ่งที่คุณสามารถศึกษาได้จากเว็บไซต์อันดับต้น ๆ ใน SERP ได้แก่

การตั้งชื่อบทความ หรือ Title สังเกตดูว่าร้านที่มีอันดับการสืบค้นสูง มักจะมีชื่อที่โดดเด่น เช่น ข้าวแกง ในอำเภอเมือง อร่อย ยกนิ้ว พิษณุโลก ร้านข้าวแกงรีวิว อาหารดี พิษณุโลก ร้านข้าวแกง ไม่ลองไม่รู้ พิษณุโลก ฯลฯ การเลือกหัวเรื่องที่น่าสนใจจะทำให้คนคลิกเข้ามาและอยากอุดหนุนมากขึ้น

การเขียน Meta Description เป็นส่วนบรรยายย่อ ๆ เกี่ยวกับหัวข้อนั้น ๆ หรือเกี่ยวกับร้านค้าหรือสินค้า แนะนำว่าควรใส่ keyword เช่นเดียวกับในส่วนหัวข้อด้วย จะช่วยเพิ่มค่า traffic ให้อันดับ SEO ดียิ่งขึ้น

การสร้าง URL address ควรใช้ภาษาอังกฤษ เพื่อไม่ให้มีปัญหาการสะกดตัวอักษรและป้องกันการเกิด ERROR ได้

การทำ SEO ให้กับภาพ หากคุณใช้โปรแกรม WordPress จะช่วยให้การใส่รายละเอียดของภาพเป็นเรื่องง่าย จะทำให้การค้นหารูปภาพร้านอาหารด้วย keyword เดียวกัน ดึงดูดใจให้คนอยากเข้าไปอุดหนุนเพิ่มขึ้นได้อีก

องค์ประกอบต่าง ๆ ที่กล่าวมาเป็นสิ่งที่คุณสามารถเรียนรู้ได้จากเว็บไซต์ชั้นนำ ที่ได้คะแนนการจัดอันดับ SEO สูงในหน้าแรกของ SERP เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเห็นแนวทางศึกษาประโยชน์จาก SERP มากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างที่ต้องการ

ศึกษาได้จากเว็บไซต์อันดับต้น ๆ ใน SERP

SEO-SEO กับ SEM เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?

การตลาดออนไลน์มีอยู่หลายเทคนิคที่สามารถช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้ไว ขายสินค้าได้มากขึ้น และมีลูกค้าประจำรวมถึงลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง SEO และ SEM ต่างเป็นเทคนิคที่ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดแนะนำให้ผู้สนใจขายของออนไลน์ทำทั้งสองวิธี เนื่องจากแต่ละวิธีมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน จึงควรทราบก่อนการเลือกทำ

SEO ย่อมาจากคำว่า search engine optimization เป็นกระบวนการพัฒนาเว็บไซต์ใน 2 ส่วน คือ ด้าน on-page SEO เช่น การทำโครงสร้างของเว็บไซต์ให้สวยงาม ใช้งานได้ง่าย แยกสินค้าเป็นหมวดหมู่ มีการทำฟอนต์และสีประจำเว็บไซต์ที่โดดเด่นจากที่อื่น การทำบทความที่มี keyword ตรงกับการสืบค้นของลูกค้าเป้าหมาย คุณภาพงานเขียนบทความที่สดใหม่ไม่ซ้ำใคร และต้องใช้ภาษาที่สื่อสารถึงกลุ่มผู้อ่านได้อย่างสนุกสนาน

นอกจากนี้ ยังมีส่วนของการทำ off-page SEO คือ การทำลิงก์เชื่อมโยงกับเว็บไซต์หรือเพจในแพลตฟอร์มอื่น ๆ เช่น Facebook หรือ Instagram เพื่อเพิ่มค่า Traffic ให้เว็บไซต์ และจะทำให้ได้ลูกค้ามาจาก หลาย ๆ แห่ง เป็นช่องทางการขยายฐานลูกค้าและทำให้เกิดการบอกต่อได้อย่างยั่งยืนยิ่งขึ้น การทำ SEO จะต้องใช้ระยะเวลาในการสะสมข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าต้องทำ SEO อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบ algorithm ของ Google มาเก็บข้อมูลนำไปเปรียบเทียบผลกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ keyword ในการสืบค้นเดียวกัน โดยเฉลี่ยใช้ระยะเวลาการเห็นผล SEO จึงอยู่ที่ 2-3 เดือนขึ้นไป ซึ่งสามารถดูได้จากการพิมพ์ในช่อง search ของ Google จะเห็นอันดับที่อยู่ด้านบนขึ้นเรื่อย ๆ

SEM ย่อมาจาก search engine marketing เป็นการทำการตลาดที่เห็นผลอย่างรวดเร็วทันที เนื่องจากเป็นการเช่าพื้นที่โฆษณาสินค้า ซึ่งมักจะแสดงอยู่ทางด้านขวามือของจอคอมพิวเตอร์ หรือด้านบนสุดของมือถือผู้ใช้งาน ทั้งนี้ Google จะมีการคิดค่าใช้จ่ายจากเจ้าของเว็บไซต์เป็น 2 ส่วน คือ การประมูลพื้นที่ที่ต้องแข่งกับเว็บไซต์อื่น ๆ ที่ใช้ keyword เดียวกัน และเมื่อได้พื้นที่แล้ว ก็ต้องทำการชำระตามจำนวนครั้งของการคลิกที่มีผู้สนใจเข้ามาชมข้อมูลตามลิงก์ที่แนบไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสินค้าเสนอขาย หรือเว็บไซต์เนื้อหา โปรแกรมบอลเมื่อคืน บ้านบอล ก็สามารถทำ SEM ได้ทั้งหมด เรียกว่าเป็นค่าโฆษณาแบบ Pay per click

การทำ SEM จึงหวังผลได้สูง ว่าจะมียอดขายที่ดีขึ้นในเวลาไม่กี่วัน เหมาะกับร้านค้าที่ต้องการกระตุ้นยอดขายแบบเร่งด่วน เน้นการโปรโมทสินค้าใหม่ หรือตรงกับช่วงเทศกาลที่มีผู้นิยมมองหาของขวัญหรือใกล้วันที่เงินเดือนออก เป็นต้น การทำ SEO และ SEM มีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกัน แต่สามารถนำมาผสมผสานทำร่วมกันได้ในเว็บไซต์เดียว เพียงแต่ต้องเข้าใจหลักการและคาดหวังผลให้ถูกต้อง เลือกจังหวะวางแผนการตลาดให้ดี จะช่วยให้ได้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากับการทำ

ไขข้อสงสัย SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร อะไรดีกว่ากัน

SEO และ SEM เป็นวิธีการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ที่นิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งมีบริษัทเอกชนรับทำทั้งสองสิ่งนี้เป็นจำนวนมาก แต่นักธุรกิจออนไลน์จำนวนไม่น้อยยังไม่ทราบความแตกต่าง จึงเลือกไม่ถูกว่าควรทำการตลาดแบบใดดี ในวันนี้เราจึงได้รวบรวมมาเพื่อไขข้อสงสัยกัน ดังนี้

ความหมายของ SEO และ SEM

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นการประชาสัมพันธ์เว็บไซต์โดยที่ไม่ต้องใช้เงินแต่จะทำให้มีอันดับสูงในการสืบค้นผ่าน Search Engine ได้ โดยการพัฒนาเว็บไซต์ในส่วนการผลิตบทความที่มีคุณภาพ สร้างสื่อมัลติมีเดียที่น่าสนใจ และการเชื่อมโยงลิงค์หรือที่เรียกว่า Back Link เพื่อให้มีลูกค้าเพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มาจากเว็บไซต์ภายนอกได้

ส่วน SEM หรือ Search Engine Marketing เป็นการทำการตลาดด้วยการซื้อพื้นที่โฆษณา โดยเจ้าของเว็บไซต์จะต้องเสียค่าโฆษณาในรูปแบบ PPC หรือ Pay Per Click คือจะต้องจ่ายเงินแก่ Search Engine เมื่อมีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายคลิกไปตามที่โฆษณาไว้

ข้อดีและข้อเสียของการทำ SEM

SEM มีข้อดี คือสามารถที่จะจ้างบริษัททำได้ทันที ไม่ต้องใช้เวลาเตรียมข้อมูลมาก แม้จะมีหน้าเพจเพียงหน้าเดียวก็สามารถทำได้เลย หากต้องการเพิ่ม keyword ในเพจ ก็สามารถทำได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง จึงเป็นการประชาสัมพันธ์ที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว โอกาสที่จะขายสินค้าและบริการได้ก็จะมีสูง เมื่อลูกค้าเห็นโฆษณาก็จะคิดเข้าไปในทันที

ส่วนข้อเสียของการทำ SEM ที่ชัดเจน ก็คือจำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการประมูลพื้นที่โฆษณา ซึ่งหากเงินในการประมูลหมดก็จะทำให้การโฆษณาสิ้นสุดลง นอกจากนี้ราคาค่าโฆษณายังขึ้นอยู่กับว่ามีคู่แข่งที่ขายสินค้าประเภทเดียวกันมากน้อยเพียงใด (ถ้าหากมีคู่แข่งมากก็อาจก็จะทำให้ต้องเสียค่าโฆษณาสูงขึ้น)

ข้อดีและข้อเสียของการทำ SEO

การทำ SEO นั้นจะมีข้อดี คือเจ้าของเว็บไซต์สามารถทำได้เองหรือจะจ้างทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญทำก็ได้ โดยในปัจจุบันมีบริษัทเอกชนมากมายที่รับทำ SEO คิดราคาเป็นแพ็คเกจที่สามารถประเมินผลการเปลี่ยนแปลงของอันดับให้เจ้าของเว็บไซต์ได้ ซึ่งการทำ SEO อย่างต่อเนื่องจะทำให้เกิดข้อมูลที่มีคุณภาพปริมาณมาก ทำให้ algorithm ของ Search Engine วิเคราะห์ผลและจัดอันดับที่ดีได้ตามมา โดยไม่เสียค่าโฆษณาใด ๆ

แต่ SEO ก็มีข้อเสียก็คือต้องใช้เวลานานกว่าการทำ SEM และหากเป็นธุรกิจที่มีการแข่งขันกันสูง ก็ต้องใช้เวลาในการสะสมข้อมูลมากขึ้นไปอีก ทั้งต้องมีความสม่ำเสมอในการทำ หากไม่มีการอัพเดทเว็บไซต์ก็จะทำให้อันดับของการทำ SEO ตกลงไปด้วย

การทำ SEO และ SEM จึงมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน การตัดสินใจจะทำสิ่งใดก็ควรจะปรึกษาจากผู้ที่มีความชำนาญในการทำโฆษณาทั้งสองแบบ แล้วจึงเลือกวิธีที่คุ้มค่ากับค่าใช้จ่ายมากที่สุด

ไขข้อสงสัย SEO กับ SEM ต่างกันอย่างไร

© 2024 KorSan

Theme by Anders NorenUp ↑