บล็อก เรื่องเล่า ตำนานเล่าขาน กีฬา และประวัติศาสตร์

Category: สุขภาพ (Page 1 of 2)

10 ประโยชน์ถั่วฝักยาวดีต่อสุขภาพ

ถั่วฝักยาวเป็นหนึ่งในพืชตระกูลถั่วที่คนไทยนิยมรับประทาน ปลูกง่ายได้ผลผลิตเร็ว นิยมปลูกเป็นผักสวนครัวประจำบ้าน และปลูกเป็นอาชีพสำคัญชนิดหนึ่งของเกษตรกรไทย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้ง ต้ม ยำ ผัด แกง ทอด เป็นเครื่องเคียงลดความจัดจ้านของอาหารให้กลมกล่อมขึ้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก

ถั่วฝักยาวมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอและบี1 แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน นำมาซึ่ง 10 ประโยชน์ของถั่วฝักยาวได้แก่

1. วิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่เป็นหวัดง่าย

2. ช่วยป้องกัน และรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณ ด้วยมีวิตามินซีสูงจึงช่วยดูแลผิว ลดริ้วรอย ลดรอยแดง ยืดอายุผิว และสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ดีต่อระบบหลอดเลือด และเส้นเอ็น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

4. ช่วยบำรุงสายตา ด้วยคุณสมบัติของวิตามินเอ และวิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น

5. ช่วยให้หลับสนิท เนื่องจากมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยคลายความเครียด เพิ่มความผ่อนคลาย ลดความเครียด วิตกกังวล อันเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับ

6. แคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน

7. ฟอสฟอรัส ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยลดไขมันส่วนเกิน เป็นตัวช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

8. ดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยลดคอเลสเตอรอล เนื่องจากอุดมไปด้วยกากใย ซึ่งมีกากใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งจะช่วยทำให้อิ่มเร็ว (ลดการรับประทานอาหารในปริมาณมาก) และช่วยให้ขับถ่ายได้ดี และชนิดละลายน้ำซึ่งจะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะสร้างสารประเภทเจลลาตินไปเคลือบกระเพาะอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล

9. คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลต่อสุขภาพ พร้อมปริมาณ ๆไฟเบอร์จำนวนมาก ช่วยให้น้ำตาลย่อยช้าลง จึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี และช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้

10. ชะลอความชรา ในถั่วฝักยาวสีม่วงยังมีปริมาณสารแอนโธไซยานินสูงกว่าถั่วฝักยาวทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซี และอีถึง 2 เท่า ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ดูอ่อนกว่าวัย

อย่างไรก็ตามแม้ถั่วฝักยาวจะมีประโยชน์มากมายดังกล่าวข้างต้นแต่แนะนำให้รับประทานในแบบต้มสุกจะปลอดภัยกว่า เนื่องจากในถั่วฝักยาวดิบมีแก๊สค่อนข้างมากอาจทำให้ท้องอืด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแพ้อาหาร ท้องเสีย หรือมีอาการวิงเวียนศีรษะได้เพราะมี “ไกลโคโปรตีน และเลคติน” อยู่มาก ในผู้สูงวัยควรต้มให้สุกเพื่อให้เคี้ยวบดละเอียดง่ายต่อการย่อยป้องกันปัญหาการอุดตันในลำไส้ และที่สำคัญควรล้างให้สะอาดก่อนต้มทุกครั้งเพื่อป้องกันการตกค้างของยาฆ่าแมลง

พฤติกรรมการกินผิดปกติ ร้ายกว่าที่คิด ต้องรีบรักษา

พฤติกรรมการกินผิดปกติเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เกิดจากความกังวลเรื่องน้ำหนักตัวมากเกินไปทำให้น้ำหนักตัวมากหรือน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยกว่าครึ่งอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก อีกส่วนที่เหลือมักจะกินแล้วล้วงคอ มาดูกันว่าพฤติกรรมการกินแบบไหนเข้าข่ายผิดปกติและควรแก้ปัญหานี้อย่างไร

พฤติกรรมการกินผิดปกติมีความสัมพันธ์กับโรคทางจิตเวช

-โรคคลั่งผอม เป็นประเภทที่กลัวน้ำหนักขึ้น อดอาหารทั้งที่หิวและน้ำหนักอาจต่ำกว่าเกณฑ์อยู่แล้ว

-โรคล้วงคอ เป็นประเภทกินมากแล้วไปล้วงออก กินยาระบาย หรือออกกำลังกายหนัก เพราะไม่อยากอ้วน

-โรคกินไม่หยุด เป็นประเภทกินเร็ว กินมาก ควบคุมตัวเองไม่ได้ กินจนแน่นแล้วรู้สึกผิดจึงล้วงคออาเจียนออกมา

-โรคเลือกกินอาหาร เป็นประเภทช่างเลือกและกินน้อยผิดปกติ ไม่กังวลเรื่องน้ำหนักหรือรูปร่าง ข้อเสียคือเจ็บป่วย เกิดภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวลด โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้เสียชีวิตได้

-โรคคลั่งกินคลีน เป็นประเภทเลือกกินเฉพาะอาหารสุขภาพ เช็คส่วนประกอบและโภชนาการก่อนกิน อาจงดอาหารบางชนิดที่คิดว่าไม่ดีต่อสุขภาพไปเลย เช่น น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เนื้อสัตว์

การพิถีพิถันเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นเรื่องดี แต่ความวิตกกังวลและช่างเลือกมากเกินไปเป็นปัญหาส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการกินผิดปกติ ถือเป็นโรคที่อันตรายและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคทางจิตเวช

ข้อแนะนำการรักษาพฤติกรรมการกินผิดปกติ

ไม่ว่าใครก็มีปัญหาด้านการกินได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ห่วงสวยและคำพูดของคนอื่นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด เสียความมั่นใจในตนเองและเริ่มมีพฤติกรรมการกินผิดปกติโดยไม่รู้ตัว หากคุณกำลังประสบปัญหานี้และรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับมือเพียงลำพัง เรามีวิธีการแก้ปัญหามาแนะนำดังนี้

-การรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมผิดปกติเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ก่อนอื่นควรศึกษาเกี่ยวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร ถ้าไม่กินเข้าไปเลยจะเกิดอะไร เรียนรู้วิธีการกินที่เหมาะสมกินอย่างไรให้มีสุขภาพดี

-ควรเปิดใจกับเพื่อน ครอบครัว และนักบำบัดมืออาชีพ พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความช่วยเหลือแก้ไขโดยเร็วที่สุด พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติเป็นภาวะที่ร้ายแรง อาจส่งผลรุนแรงให้วัยเด็กและวัยหนุ่มสาวมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ เกิดภาวะขาดสารอาหาร มีความเครียดและเจ็บป่วยอ่อนแอในระยะยาว

-ความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด ผู้ป่วยต้องเริ่มคิดบวก เลือกคนที่คุณจะคุยด้วยและอยู่ท่ามกลางคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ฟังคำพูดเชิงลบหรือคำวิจารณ์ของคนอื่น ปรับพฤติกรรมการกินไปพร้อมกับการรักษาทางด้านสุขภาพจิต การรักษาจะต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป หากผลักดันตัวเองมากเกินไปอาจส่งผลร้ายให้ยิ่งวิตกกังวลจนป่วยเป็นภาวะซึมเศร้ารุนแรง

พฤติกรรมการกินผิดปกติเกี่ยวกับกับโรคทางจิตเวช ต้องใช้ความอดทนและเวลาในการรักษา เพราะปัญหาไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน การยอมรับว่าตนเองป่วยเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จากนั้นเริ่มปรับนิสัยการกินและการใช้ชีวิต หากชอบออกกำลังกายก็ทำต่อไป หางานอดิเรกทำเสริมได้ยิ่งดี มีเวลาอ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ มองสิ่งที่ชอบและทำได้ดีเพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเอง มีความพอใจและภาคภูมิใจไม่ต้องไปแคร์คำพูดของคนอื่นอีก

ข้อดีและข้อเสีย ของการดื่มกาแฟที่คุณควรรู้

กาแฟเป็นเครื่องดื่มมีคาเฟอีนที่หลายคนนิยมดื่มเพื่อให้ตาสว่าง รู้สึกสดชื่นตื่นตัวระหว่างทำงาน ถ้าดื่มปริมาณพอดีมีประโยชน์หลายประการ แต่ดื่มมากเกินไปจะเกิดโทษ มาดูกันถึงข้อดีและข้อเสียของกาแฟที่นักดื่มตัวยงควรทราบ ดังนี้

ข้อดีของการดื่มกาแฟ

  • ตื่นนอนตอนเช้ากระตุ้นสมองให้แล่นฉิวด้วยกาแฟสักแก้ว คาเฟอีนกระตุ้นระบบประสาทลดความเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือการออกกำลังกาย กระตุ้นความจำและอารมณ์ให้ตื่นตัวมากขึ้น นักกีฬามักดื่มกาแฟกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อและและเพิ่มพลังงาน
  • ดื่มกาแฟเป็นประจำลดความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานในระยะยาว เนื่องจากกาแฟกระตุ้นให้เบตาเซลล์ในตับอ่อนผลิตอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • กาแฟช่วยบำรุงสมองป้องกันโรคทางระบบประสาท รวมถึงโรคอัลไซเมอร์และโรคพาร์กินสัน
  • เพิ่มอัตราการเผาผลาญและกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ลดความอยากอาหารช่วยลดน้ำหนักได้
  • ลดความสี่ยงเกิดภาวะซึมเศร้า ลดอัตราการเสียชีวิตด้วยฆ่าตัวตายน้อยลง
  • ป้องกันภาวะตับแข็ง โรคตับเรื้อรัง ลดความเสี่ยงมะเร็งตับ ดื่มวันละแก้ว ความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคตับลดลง 15% ดื่มวันละ 3-4 แก้ว ความเสี่ยงลดลง 71%
  • ดื่มกาแฟวันละ 3-4 แก้ว ลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ 15% ช่วยป้องกันภาวะหัวใจล้มเหลวและลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองลดลง 21%

ข้อเสียของการดื่มกาแฟ

  • คาเฟอีนปริมาณมากเกินไปอาจส่งผลต่อสมองทำให้รู้สึกเหนื่อย มีความวิตกกังวล รู้สึกประหม่าและกระวนกระวายใจ บางคนมีอาการไวต่อคาเฟอีนมากกว่าคนทั่วไป ทำให้หายใจเร็ว ปวดหัว เวียนหัว หัวใจเต้นเร็ว ใจสั่น ระดับความเครียดเพิ่มขึ้น
  • ดื่มกาแฟมากเกินไปส่งผลให้นอนไม่หลับ ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมและปัจจัยอื่นๆ รวมถึงคนอายุมากจะหลับยากมากขึ้น กาแฟและชามีส่วนผสมคาเฟอีนเข้มข้นที่สุด สารคาเฟอีนพบได้ในเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น โกโก้ โซดา เครื่องดื่มชูกำลัง และยาหลายชนิด สารคาเฟอีนมีผลต่อร่างกายนานเฉลี่ย 5 ชั่วโมง ดื่มช่วงกลางวันก็อาจกระทบต่อการนอนตอนกลางคืนได้เช่นกัน
  • หลายคนพบว่าการดื่มกาแฟตอนเช้ากระตุ้นการทำงานของลำไส้ออกฤทธิ์เป็นยาระบาย หากร่างกายได้รับคาเฟอีนปริมาณมากอาจทำให้ท้องร่วง อาจมีผลต่อระบบย่อยอาหารเป็นสาเหตุให้บางคนเป็นโรคกรดไหลย้อน ควรลดประมาณกาแฟหรือเปลี่ยนไปดื่มชาแทน
  • ดื่มกาแฟเป็นประจำกลายเป็นเสพติดคาเฟอีน หากงดดื่มกาแฟจะมีอาการปวดหัว เหนื่อยล้า และง่วงนอนจนต้องกลับไปดื่มอีกอาการต่างๆ ก็หายไป
  • สารคาเฟอีนทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นได้ชั่วคราว ยิ่งถ้ากำลังนั่งลุ้นแล้วผิดหวังไปด้วยยิ่งอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้นเป็นเท่าตัว เป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออาการหัวใจวายและโรคหลอดเลือดสมอง
  • ปัสสาวะบ่อยเป็นผลข้างเคียงที่เกิดจากการดื่มกาแฟมาก เนื่องจากสารเคเฟอีนกระตุ้นกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวทำให้กลั้นปัสสาวะไม่อยู่

สารคาเฟอีนส่งผลต่อผู้คนต่างกัน หากดื่มกาแฟปริมาณน้อยปลอดภัยกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ ช่วยกระตุ้นสมองให้ตื่นตัว ทำงานมีประสิทธิภาพ และเพิ่มสมรรถภาพทางกายที่ดีขึ้น คาเฟอีนปริมาณมากอาจมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ แต่กับบางคนอาจไม่มีผลกระทบในด้านลบ ลองสังเกตตัวเองแล้วปรับปริมาณให้พอเหมาะทำให้กาแฟเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพอย่างเหลือเชื่อ

เคล็ดลับดูแลสุขภาพให้แข็งแรงตลอดปี

การมีสุขภาพดีตลอดทั้งปี นอกจากทำให้ร่างกายกระฉับกระเฉง และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพตามไปด้วยแล้ว ยังช่วยให้มีจิตใจที่แจ่มใส มีพลังสมองที่สดชื่น พร้อมสำหรับการคิดริเริ่มงานใหม่ ๆ โดยเฉพาะในยุคที่ไวรัสโควิด-19 ระบาดก็ยิ่งจำเป็นต้องระมัดระวังสุขภาพยิ่งขึ้น เรามาดูกันว่าเคล็ดลับที่จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงตลอดปีมีอะไรบ้าง

1. เลือกรับประทานอาหารถูกหลักโภชนาการ
ในมื้ออาหารแต่ละวันนั้น ควรประกอบด้วยโปรตีน คาร์โบไฮเดรตและผัก อย่างละ 1 ส่วน หากมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน ก็ควรเลือกรับประทานคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และควบคุมปริมาณความเค็มจากเกลือ น้ำปลา กะปิ ที่อยู่ในเมนูอาหารด้วย

2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายวันละ 30 นาที จะปรับระบบร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนอย่างสมดุล ช่วยการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถเลือกกีฬาประเภทที่ถนัดได้มากมาย เช่น วิ่ง ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิก กระโดดเชือก เล่นโยคะ ฯลฯ การออกกำลังกายยังมีประโยชน์ระยะยาว คือ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงโรคมะเร็งบางชนิดได้ด้วย

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ
ในแต่ละวันเราควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้ว เพราะน้ำเป็นปัจจัยพื้นฐานที่ร่างกายขาดไม่ได้ ถูกใช้ในกระบวนการเผาผลาญและเกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาทางเคมีต่าง ๆ ภายในระบบร่างกายทุกส่วน หากขาดน้ำจะทำให้ร่างกายเสียสมดุลและทำให้เลือดข้นหนืด ส่งผลให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่าง ๆ บกพร่อง การเผาผลาญลดน้อยลง และทำให้ผิวพรรณเป็นริ้วรอยง่าย ดูแก่กว่าวัย

4. พักผ่อนอย่างเพียงพอ
การนอนหลับพักผ่อนที่ดีนั้น เราควรหลับสนิทในช่วงเวลา 23:00 น. ถึง 02:00 น. ซึ่งเป็นเวลาที่ร่างกายหลั่งโกรทฮอร์โมนออกมา เพื่อซ่อมแซมร่างกายหลังจากทำงานมาอย่างหนักตลอดทั้งวัน หากนอนหลับได้สนิทจะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ โรคเครียด และโรคอ้วนได้อีกด้วย

5. มองโลกในแง่บวก
การมองโลกด้วยทัศนคติเชิงบวก จะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข ลดโอกาสเป็นโรคเครียด ซึมเศร้า วิตกกังวลได้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้พยายามอยู่ใกล้ชิดกับคนที่มองโลกในแง่บวก หรือคนที่หัวเราะง่าย ยิ้มง่าย เพื่อทำให้คุณรู้สึกสดใสเบิกบานกับทุกวันมากยิ่งขึ้น

การดูแลสุขภาพทั้งด้านร่างกาย จิตใจ ใส่ใจอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำ ฯลฯ ล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับทุกคน หากทำอย่างสม่ำเสมอจะเห็นผลที่ดี คือ มีคุณภาพชีวิตที่ดี ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้ตลอดทั้งปี อย่างไรก็ตาม ไม่ควรละเลยการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลเป็นระยะ ทุก 6 เดือนถึง 1 ปี เพื่อคัดกรองโรคต่าง ๆ ตามวัยด้วย

ดูแลผิวสวยให้ห่างไกลสิว จัดการได้ด้วยตัวเอง

ผิวสวยเป็นที่ต้องการของทุกวัยโดยเฉพาะวัยรุ่นและวัยทำงาน หากหน้าใส ไม่มีสิวและแผลเป็นใด ๆ ก็จะยิ่งเสริมความมั่นใจในการเข้าสังคม ทั้งเป็นการสร้างโอกาสที่ดีในการทำงานหน้ากล้อง เช่น เป็นนักแสดง นักร้อง ยูทูปเบอร์ นักรีวิวสินค้ากลุ่มความงาม เป็นต้น มีวิธีการดูแลผิวสวยอย่างไร ให้ไร้ปัญหาสิว

1. เช็ดเครื่องสำอางออกให้เกลี้ยงก่อนล้างหน้า

ก่อนการล้างหน้า ต้องเช็ดเครื่องสำอางและครีมต่าง ๆ ออกให้หมด ด้วยคลีนเซอร์สูตรอ่อนโยนที่กำจัดส่วนประกอบกลุ่มน้ำมันและน้ำออกจากผิวได้มากที่สุด ถ้าใช้เครื่องสำอางสูตรกันน้ำ ควรใช้คลีนเซอร์สูตรพิเศษ เพื่อทำความสะอาดอย่างหมดจดยิ่งขึ้น

2. ล้างหน้าให้สะอาดก่อนนอน

ก่อนนอนต้องล้างหน้าให้สะอาดด้วยเจลหรือโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับผิว ไม่ว่าคุณจะเล่นพนันจนเครียดหนักเพราะเสีย หรือทำภารกิจอื่นๆจนมีคราบเหงื่อตามใบหน้าก็ตาม วิธีสังเกตง่าย ๆ คือ หลังล้างหน้าแล้วต้องรู้สึกว่าผิวไม่แห้งตึง เพราะแสดงถึงการดึงน้ำออกจากผิว จนอาจเป็นสาเหตุเรื้อรังทำให้มีการสร้างไขมันขึ้นมาปกคลุมผิวหน้ามากเกินไป จนเป็นสิวอุดตันและอักเสบตามมาได้

3. ขจัดเซลล์ผิวเก่าและสิ่งอุดตันด้วยสครับ

ควรใช้สครับขัดผิวหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง สาเหตุที่หลายคนมีปัญหาสิวอุดตันหรือเป็นสิวอักเสบได้ง่าย เพราะว่ามีไขมันส่วนเกินและมีเซลล์ผิวหนัง สิ่งสกปรกที่เป็นอาหารของแบคทีเรีย P.acne จึงทำให้ผิวหน้าไม่เรียบเนียน การใช้สครับขัดผิวจึงเป็นทางออกที่ช่วยทำให้ลดปัญหาเหล่านี้ได้ แต่บริเวณจุดที่เป็นสิวอักเสบหรือเป็นสิวหัวหนองอยู่ ต้องงดเว้น เพื่อไม่ให้มีการเสียดสี อันจะทำให้ยิ่งบวมแดงมากขึ้น

4. ทาครีมบำรุงหลังล้างหน้าภายใน 20 นาที

หลังล้างหน้า ควรรีบทาครีมบำรุงผิว เพื่อให้ดูดซึมได้เร็ว ลงไปฟื้นฟูสภาพผิวได้อย่างล้ำลึก โดยควรเริ่มจากน้ำตบ เซรั่ม เจล และครีม ตามลำดับ ทั้งนี้ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรทดลองกับบริเวณท้องแขนว่าหลังจากทามีอาการคัน แสบ หรือมีผดผื่นขึ้นหรือไม่ หากมีก็หลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์นั้น และถ้ามีอาการแพ้มาก ให้รีบปรึกษาแพทย์

5. ทำความสะอาดอุปกรณ์แต่งหน้า

แนะนำให้ทำความสะอาดแปรงแต่งหน้า พัฟฟ์ ฟองน้ำ ฯลฯ เป็นประจำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งเพราะเป็นอุปกรณ์ที่มีการสัมผัสกับผิวหน้าโดยตรง เกิดการสะสมของคราบสกปรก ไขมัน รวมถึงแบคทีเรียหลายชนิดอันเป็นสาเหตุของการเกิดสิวได้ง่าย และควรมีอุปกรณ์แต่งหน้าหลายชุดเพื่อหมุนเวียนสับเปลี่ยน ไม่ควรใช้ปะปนกับผู้อื่น และควรตรวจสอบอายุของเครื่องสำอางเป็นประจำด้วย

การดูแลผิวให้ห่างไกลสิวนั้น ต้องใส่ใจรายละเอียดหลายด้านและต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง จึงจะป้องกันปัญหาสิวได้อย่างครบวงจร หากดูแลตามที่กล่าวมาแล้ว ยังพบปัญหาสิวอุดตันและอักเสบ แนะนำให้ปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ผิวหนังเพื่อเลือกใช้ยารักษาที่เหมาะสมตามสาเหตุต่อไป

อาการปวดประจำเดือน แก้ได้ด้วยพฤติกรรมเหล่านี้

ผู้หญิงคนไหนที่ไม่ปวดท้องในวันนั้นของเดือน ถือว่าเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ แต่ในความเป็นจริงแล้วการปวดท้องประจำเดือนเป็นกันทุกคน ส่วนจะมีอาการปวดมากหรือปวดน้อยแล้วแต่คนไป บางคนปวดมากถึงขนาดที่ต้องนอนไม่สามารถที่จะลุกไปทำกิจวัตรประจำวันปกติได้เลยทีเดียว สำหรับคนที่มีอาการปวดประจำเดือนทุกครั้งที่ถึงวันนั้นของเดือนแล้วไม่อยากกินยาบ่อย ๆ ลองทำตามวิธีที่จะแนะนำต่อไปนี้ดู เชื่อว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดได้แบบชะงักได้เลยล่ะ

ดื่มน้ำอุ่นให้มากในช่วงมีประจำเดือน

การดื่มน้ำอุ่นหรือน้ำในอุณหภูมิปกติที่ไม่ใช่น้ำเย็นในปริมาณมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการทำงานของตับ ทำให้ตับมีการทำงานได้ปกติ ทั้งช่วยควบคุมฮอร์โมนเอสโตรเจนให้อยู่ในระดับปกติ ซึ่งฮอร์โมนดังกล่าวถ้าผลิตออกมาในปริมาณที่มากเกินไปจะส่งผลต่ออาการปวดท้องประจำเดือนนั่นเอง และในช่วงมีประจำเดือนควรเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น เพราะน้ำเย็นจะทำให้เลือดจับตัวกันเป็นก้อนลิ่มเลือด ทำให้ขับออกมามาก และจะยิ่งเพิ่มความรุนแรงของอาการปวดท้องให้มากขึ้นอีกด้วย

ประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อน

การประคบด้วยกระเป๋าน้ำร้อนที่บริเวณหน้าท้องจะช่วยขยายหลอดเลือดและกล้ามเนื้อที่เกร็งให้เกิดความผ่อนคลาย จะช่วยให้อาการปวดท้องลดลงได้

หมั่นออกกำลังกาย

การออกกำลังกายจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงและระบบการทำงานรวมทั้งฮอร์โมนต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ ยิ่งคนที่ปวดประจำเดือนทุกครั้งยิ่งต้องออกกำลังกาย และในช่วงที่มีประจำเดือนก็สามารถออกกำลังกายได้ แต่ต้องเลือกออกกำลังกายในลักษณะที่ไม่ต้องใช้แรงมาก เพราะร่างกายในช่วงนั้นมีความอ่อนเพลียอยู่แล้ว เลือกชนิดกีฬาที่เบา ๆ เช่นเดินเร็ว ปั่นจักรยาน เล่นโยคะ เป็นต้น

เลือกทานอาหารที่มีฤทธิ์ช่วยระงับอาการปวด

อาหารที่มีฤทธิ์ช่วยระงับอาการปวด ได้แก่ เหล่าวิตามินทั้งหลายและเกลือแร่ ซึ่งอาหารที่มีเกลือแร่และวิตามินก็คือผักและผลไม้ทั้งหลาย โดยเฉพาะผักตำลึงที่มีธาตุแมกนีเซียมสูง หรือจะเป็นปลาทะเลน้ำลึกอย่างปลาทูน่า ปลาแซลมอน ที่มีกรดไขมันดีซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการเกร็งและปวดในช่องท้องได้เป็นอย่างดี ใครที่ปวดท้องเป็นประจำทุกเดือนก็ไปลองหาติดตู้เย็นไว้ วันนั้นมาถึงเมื่อไหร่จะได้ทำเมนูจากสิ่งเหล่านี้ได้ทันที

เลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มที่มีสารคาเฟอีน

ในช่วงมีประจำเดือน ควรเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน เพราะแอลกอฮอล์จะไปทำให้ความเข็มข้นของเลือดต่ำและยังทำให้เลือดสูบฉีดเร็ว คาเฟอีนก็เช่นกันทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากขึ้น ซึ่งจะส่งให้อาการปวดรุนแรงมากขึ้น

ถ้าคุณไม่อยากทรมานกับอาการปวดท้องทุกครั้งที่มีประจำเดือน ก็จงเตรียมร่างกายของคุณเองให้แข็งแรงและให้พร้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะสิ่งนี้มันจะอยู่กับตัวคุณไปอีกยาวนานหลายสิบปี

วิธีดูแลสุขภาพให้สดใสแข็งแรงตลอดปี

ทุกคนต่างต้องการมีสุขภาพกายและใจที่ดี เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานได้มากที่สุดและมีความสุขในทุกวัน การจะทำให้คุณมีพลังในการทำงาน และลดความเสี่ยงการเป็นโรคร้ายต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง จะมีวิธีใดบ้าง มาดูไปพร้อมกันเลย

วิธีใดบ้างที่ช่วยทำให้สุขภาพดี

1. เลือกรับประทานอาหารที่ดี

อาหารที่ดีไม่ได้หมายถึงเมนูอาหารที่มีราคาสูงที่ทำให้คุณต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบครบถ้วน 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ มีสัดส่วนของโปรตีนหรือเนื้อสัตว์คาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง เส้นใยไฟเบอร์จากผัก และวิตามินจากผลไม้ที่หลากหลายและเพียงพอในทุกวัน และต้องเลือกกรรมวิธีการปรุงที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการทอด เพราะจะเป็นการเพิ่มไขมันทรานส์ที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันง่าย ไม่ใส่ผงชูรส น้ำปลา หรือเกลือมากเกินไป เพราะจะทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นต้น

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวันคือ 6-8 แก้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่าเพียงพอต่อการใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เซลล์ในทุกอวัยวะทำงานได้อย่างสมดุล หากดื่มน้ำน้อย จะทำให้เลือดเข้มข้นและเหนียวมากเกินไปทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เป็นปกติ ทำให้สมองตื้อ ไม่แจ่มใส และยังทำให้ผิวแห้ง ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาริ้วรอยและการดูแก่ก่อนวัยด้วย

3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

ปัจจุบันผู้คนนิยมทำงานทำงานเสริมรายได้ในช่วงหลังเลิกงาน และยังต้องใช้เวลากับการขับรถบนถนนที่มีสภาพการจราจรคับคั่งอีกหลายชั่วโมง ทำให้มีเวลานอนพักผ่อนน้อยลง จึงเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า และทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายเสียสมดุลเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนและไขมันโลหิตสูงด้วย การนอนพักผ่อนที่เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้ฟื้นตัวรวดเร็ว เนื่องจากสมองจะหลั่งฮอร์โมน Growth Hormone ออกมา เพื่อซ่อมแซมร่างกายในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2

4. ต้องหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพทุก 6 เดือนถึง 1 ปี จะช่วยในการคัดกรองโรคให้รู้ได้ว่า ภาวะสุขภาพของคุณนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีหรือไม่ และหากคุณมีช่วงอายุที่มากขึ้น ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างเพิ่มตาม เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ ดังนั้น หากตรวจสุขภาพเป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้พบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ควบคู่กับการใช้ยาอย่างเหมาะสม จะทำให้อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ทุเลาได้เร็ว

จะเห็นได้ว่าการดูแลสุขภาพให้ดีตลอดปี จะต้องใส่ใจทั้งเรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การพักผ่อนที่เพียงพอ และการใช้ไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้แนวทางให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ เพื่อให้สุขภาพดีสมบูรณ์แข็งแรงได้ยาวนาน

วิธีดูแลสุขภาพให้สดใสแข็งแรงตลอดปี

วิธีลดความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ อาการ ได้แก่ มีน้ำมูกสีใส คันจมูก จามบ่อย มีผื่นแพ้คันที่ผิวหนัง หากรุนแรงอาจหอบหืด ช็อกและเสียชีวิตได้ เรามาดูกันว่า จะป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ได้อย่างไรบ้าง

ลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดง

มีการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มนมวัวและรับประทานผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดง มีแนวโน้มเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หากมีการบริโภคนมวัวมาก ก็จะทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่แรกเกิดได้

รับประทานวิตามิน อาหารเสริม

การรับประทานน้ำมันปลาสกัดหรือ Fish Oil นอกจากจะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดแล้ว ยังสามารถช่วยลดปัญหาภูมิแพ้ได้ โดยการรับประทานขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด เป็นประจำ ทั้งนี้ควรเลือกยี่ห้อที่มีการทดสอบสารปนเปื้อนโลหะหนักด้วย เพราะอาจจะสะสมในร่างกายหากรับประทานเป็นประจำได้

ทำความสะอาดห้องนอน

ในห้องนอนมักมีไรฝุ่นและเชื้อโรคที่สะสม เนื่องจากขาดการทำความสะอาดที่ดีพอ การนำที่นอนไปตากแดดแรงจัดเป็นประจำจะช่วยให้ไร้ฝุ่นถูกกำจัดได้ดีขึ้น หากไม่สามารถทำด้วยตัวเอง แนะนำให้ใช้บริการของบริษัทเอกชนที่มีเครื่องกำจัดไรฝุ่นที่มีอุปกรณ์อย่างครบถ้วน

งดการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน

สัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัขและแมวจะผลัดขน และมีเศษรังแค สะเก็ดผิวหนังที่หลุดร่วงปลิวตามอากาศได้ ทำให้เด็กและผู้สูงอายุเกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย หากมีสัตว์เลี้ยงควรเลี้ยงในที่จำกัดอย่างเหมาะสม และไม่ควรให้อยู่ในบ้าน

มีชั้นวางรองเท้าอยู่หน้าบ้าน

หลายคนจะถอดรองเท้าอยู่ในห้องหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งฝุ่นจะฟุ้งกระจายได้ ควรซื้อตู้เก็บรองเท้าไว้ให้มิดชิด หรือหากมีพื้นที่หน้าบ้าน ก็ควรมีพรมเช็ดเท้าและวางตู้ใส่รองเท้าไว้ด้านนอก

ออกกำลังกายเป็นประจำวัน

หากว่ายน้ำ วิ่ง หรือปั่นจักรยานเป็นประจำทุกวัน ครั้งละ 30-45 นาที ต่อเนื่อง 1-2 เดือน จะสังเกตได้ว่าอาการโรคภูมิแพ้ลดลง รวมถึงจะไม่เป็นหวัดด้วย เพราะระบบเม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

ล้างแอร์เป็นประจำ

คนที่มีอาการภูมิแพ้จากการนอนในห้องแอร์ ควรตรวจสอบว่ามีการล้างแอร์เป็นประจำทุก 3-6 เดือนหรือไม่ ความอับชื้นและคราบน้ำที่ตกค้างในเครื่องจะทำให้มีเชื้อราตามมา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้เรื้อรังได้

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้ควบคุมปัจจัยที่กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ดียิ่งขึ้น หากทำตามที่แนะนำแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ต่อไป

ภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย

วิธีดูแลสุขภาพให้ ห่างไกลจากความดันสูง

โรคความดันโลหิตสูงจัดเป็นโรคเรื้อรังที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย ต้องการลดจำนวนผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันมีตัวเลขสถิติพบว่าคนไทยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก อัมพฤกษ์ และโรคไตวายมากขึ้น โดยมาจากปัญหาเบื้องต้น คือ การมีค่าความดันเลือดสูงเป็นจำนวนมาก

โรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ค่าความดันตอนที่หัวใจบีบและคลายตัว ที่ควรจะมีค่าตัวเลขไม่มากกว่า 140 และ 90 มิลลิเมตรปรอท ตามลำดับ

ผู้ที่มีค่าความดันสูงกว่าเกณฑ์ 140/90 จะเรียกว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง ที่จำเป็นจะต้องทำการหาสาเหตุ เช่น สอบถามประวัติคนในครอบครัว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อการปรับเปลี่ยนลดปัจจัยเสี่ยงอย่างเหมาะสม และอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย เพื่อควบคุมความดันไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และมีโรคแทรกซ้อนตามมา

สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

หนึ่งในสามของผู้ป่วยความดันสูง มักมีการส่งทอดทางพันธุกรรม เช่น ปู่ย่าตายายเคยเป็นความดันสูง ลูกหลานก็มีโอกาสเป็นมากขึ้น และที่เหลือมักจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่ การรับประทานอาหาร ที่มีเกลือ ผงชูรส ผงฟูเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมักจะอยู่ในอาหารกลุ่มน้ำพริก ซอส ซีอิ๊ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว ขนมปังเบเกอรี่ขนมกรุบกรอบต่าง ๆ ที่ โดยรวมแล้วทำให้ได้รับโซเดียมปริมาณสูงมากกว่า 2,000 มิลลิกรัมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้

หากไม่ต้องการเป็นความดันโลหิตสูง ควรที่จะดูแลเรื่องของอาหารการกินในเบื้องต้น รับประทานอาหารที่ไม่ติดมัน เน้นอาหารสดใหม่ ไม่ปรุงรสชาติ ไม่ใส่ซอสต่าง ๆ มากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง เพราะจะมีการใส่เกลือเพื่อรักษาสภาพอาหารให้เก็บได้นาน นอกจากนี้ ควรเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้สด แทนการรับประทานขนมปังขนมกรุบกรอบทุกชนิด จะทำให้ลดปริมาณเกลือที่ร่างกายจะได้รับด้วย

ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มการออกกำลังกาย ควรจะทำเป็นแบบแอโรบิค หรือออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น การเดินต่อเนื่องกัน 30 นาที การว่ายน้ำ จะช่วยให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญและปรับสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิตได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่ชอบการปาร์ตี้ ดื่มสุราและสูบบุหรี่เป็นประจำ มีงานวิจัยพบว่าจะส่งผลให้เส้นเลือดทั่วร่างกายมีภาวะอักเสบ ขาดความยืดหยุ่น ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ผลลัพธ์คือ ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มตามไปด้วย จึงควรลด ละ เลิก พฤติกรรมการปาร์ตี้ลง

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านใส่ใจการ ดูแลสุขภาพ ทั้งเรื่องของอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพวัดความดันโลหิตเป็นประจำ ซึ่งสามารถที่จะซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติประจำไว้ที่บ้าน หรือขอวัดความดันโลหิตกับคลินิกสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้ เพื่อเฝ้าระวัง จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงได้มากขึ้น

วิธีดูแลสุขภาพให้ ห่างไกลจากความดันสูง

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกล โรคหวัด

โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อไวรัส ที่พบได้บ่อยในคนไทยช่วงอากาศเปลี่ยนอย่างฤดูฝนฤดูหนาว โดยเฉพาะคนที่มีความต้านทานอ่อนแอ อย่างเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หากปล่อยให้อาการลุกลามจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นโรคปอดบวม คออักเสบ หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ตามมาได้

เราจึงได้รวบรวมเทคนิคในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลหวัดมาฝากกัน ดังนี้

1. ดื่มน้ำสะอาด วันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ โดยเฉพาะการไหลเวียนโลหิต ระบบภูมิต้านทาน และกระบวนการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้เลือดมีความข้นหนืด ทำให้การนำส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรคทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงเป็นหวัดรุนแรงง่ายขึ้น

2. การนอนหลับสนิทให้เพียงพอ เฉลี่ยวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยมีการวิจัยพบว่าช่วงเวลาที่คนเราควรหลับสนิทคือ เวลาสี่ทุ่มถึง ตีสอง เพื่อให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญคือ โกรทฮอร์โมน มาฟื้นฟูสภาพการทำงานของเซลล์ได้อย่างดี ทั้งช่วยให้ตับและไตทำหน้าที่กำจัดสารพิษที่สะสมมาตลอดวันออกจากระบบเลือด เพื่อขับออกทางปัสสาวะอุจจาระตอนเช้า (ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมีการขับถ่ายเป็นกิจวัตร) ได้ดีขึ้นด้วย ผู้ที่อดนอนจากการทำงานหนักหรือมีความเครียดสูงจนหลับไม่สนิท จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหวัดมากขึ้นหลายเท่าตัว

3. การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้ระบบเม็ดเลือดขาวได้ดีขึ้น จึงช่วยป้องกันทั้งไวรัสหวัดและโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้อีกมาก

4. รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ได้แก่ ขิง ข่า กระเทียม พริก พริกไทย ตะไคร้ หอมแดง หัวหอมใหญ่ ฯลฯ นอกจากนี้ ควรเสริมผักผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น กีวี ส้ม มะนาว ฝรั่ง ผักกาดเขียว ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทานดีขึ้น

5. หลีกเลี่ยงการเดินทางในระหว่างที่มีฝนตก เพราะละอองฝนที่เปียกซึมตามเสื้อผ้าและเส้นผม จะเพิ่มความอับชื้นหลายชั่วโมง ทำให้ป่วยเป็นหวัดได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีรูระบายอากาศได้ดี และต้องพกหมวก ร่ม เสื้อกันฝน รวมถึงอุปกรณ์ทำผมแห้ง เช่น ไดร์เป่าผม ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ติดตัวไว้เสมอ เพื่อรับมือกับฝนที่อาจตกได้ตลอดเวลา

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการดูแลสุขภาพที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ทุกท่านห่างไกลหวัดได้จริง หากนำไปปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัว ก็มั่นใจได้ว่าจะมีสุขภาพที่ดี แม้จะมีฝนตกก็ไร้กังวลอย่างแน่นอน

เทคนิคในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลหวัดม

« Older posts

© 2024 KorSan

Theme by Anders NorenUp ↑