บล็อก เรื่องเล่า ตำนานเล่าขาน กีฬา และประวัติศาสตร์

Author: Don Jimenez (Page 6 of 7)

วิธีดูแลสุขภาพให้สดใสแข็งแรงตลอดปี

ทุกคนต่างต้องการมีสุขภาพกายและใจที่ดี เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการทำงานได้มากที่สุดและมีความสุขในทุกวัน การจะทำให้คุณมีพลังในการทำงาน และลดความเสี่ยงการเป็นโรคร้ายต่าง ๆ เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง ไขมันในเลือดสูง จะมีวิธีใดบ้าง มาดูไปพร้อมกันเลย

วิธีใดบ้างที่ช่วยทำให้สุขภาพดี

1. เลือกรับประทานอาหารที่ดี

อาหารที่ดีไม่ได้หมายถึงเมนูอาหารที่มีราคาสูงที่ทำให้คุณต้องสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน แต่เป็นอาหารที่มีส่วนประกอบครบถ้วน 5 หมู่ ตามหลักโภชนาการ มีสัดส่วนของโปรตีนหรือเนื้อสัตว์คาร์โบไฮเดรตหรือแป้ง เส้นใยไฟเบอร์จากผัก และวิตามินจากผลไม้ที่หลากหลายและเพียงพอในทุกวัน และต้องเลือกกรรมวิธีการปรุงที่เหมาะสม หลีกเลี่ยงการทอด เพราะจะเป็นการเพิ่มไขมันทรานส์ที่ทำให้เส้นเลือดอุดตันง่าย ไม่ใส่ผงชูรส น้ำปลา หรือเกลือมากเกินไป เพราะจะทำให้ระดับความดันโลหิตสูงขึ้น เป็นต้น

2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ปริมาณน้ำที่ควรดื่มต่อวันคือ 6-8 แก้ว ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการวิจัยทางการแพทย์พบว่าเพียงพอต่อการใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้เซลล์ในทุกอวัยวะทำงานได้อย่างสมดุล หากดื่มน้ำน้อย จะทำให้เลือดเข้มข้นและเหนียวมากเกินไปทำให้การไหลเวียนเลือดไปเลี้ยงสมองไม่เป็นปกติ ทำให้สมองตื้อ ไม่แจ่มใส และยังทำให้ผิวแห้ง ซึ่งเป็นที่มาของปัญหาริ้วรอยและการดูแก่ก่อนวัยด้วย

3. นอนพักผ่อนให้เพียงพอ

ปัจจุบันผู้คนนิยมทำงานทำงานเสริมรายได้ในช่วงหลังเลิกงาน และยังต้องใช้เวลากับการขับรถบนถนนที่มีสภาพการจราจรคับคั่งอีกหลายชั่วโมง ทำให้มีเวลานอนพักผ่อนน้อยลง จึงเกิดปัญหาสุขภาพต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า และทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายเสียสมดุลเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วนและไขมันโลหิตสูงด้วย การนอนพักผ่อนที่เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน จะทำให้ร่างกายได้ฟื้นตัวรวดเร็ว เนื่องจากสมองจะหลั่งฮอร์โมน Growth Hormone ออกมา เพื่อซ่อมแซมร่างกายในช่วงกลางคืน โดยเฉพาะช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2

4. ต้องหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ

การตรวจสุขภาพทุก 6 เดือนถึง 1 ปี จะช่วยในการคัดกรองโรคให้รู้ได้ว่า ภาวะสุขภาพของคุณนั้นอยู่ในเกณฑ์ดีหรือไม่ และหากคุณมีช่วงอายุที่มากขึ้น ก็จะมีความเสี่ยงต่อโรคบางอย่างเพิ่มตาม เช่น โรคมะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก ฯลฯ ดังนั้น หากตรวจสุขภาพเป็นประจำสม่ำเสมอ จะทำให้พบโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมประจำวัน ควบคู่กับการใช้ยาอย่างเหมาะสม จะทำให้อาการเจ็บป่วยต่าง ๆ ทุเลาได้เร็ว

จะเห็นได้ว่าการดูแลสุขภาพให้ดีตลอดปี จะต้องใส่ใจทั้งเรื่องการรับประทานอาหารที่เหมาะสม การพักผ่อนที่เพียงพอ และการใช้ไลฟ์สไตล์ที่เหมาะสม เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้แนวทางให้ทุกท่านนำไปปรับใช้ เพื่อให้สุขภาพดีสมบูรณ์แข็งแรงได้ยาวนาน

วิธีดูแลสุขภาพให้สดใสแข็งแรงตลอดปี

ทำอย่างไรให้ปี 2020 คุณประสบความสำเร็จในชีวิตมากกว่าเดิม

ทุกคนต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต โดยเฉพาะวัยเรียนและวัยทำงานที่คนรุ่นใหม่เห็นตัวอย่างคนที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย เช่น จากรายการอายุน้อยร้อยล้าน ที่ทำให้ต้องการศึกษาว่าจะทำอย่างไรถึงจะประสบความสำเร็จแบบนั้นได้บ้าง

เรามาดูกันว่าจะมีวิธีอย่างไรที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำไว้ในปี 2020 ถ้าเริ่มทำแล้วจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากขึ้น

1. มีเป้าหมายในชีวิตที่ชัดเจน

ต้องสำรวจตัวเองว่ามีอุปนิสัยแบบใดและเหมาะกับการทำงานแบบใด เช่น คนที่ชอบการคิดสร้างสรรค์ เหมาะที่จะทำงานในบริษัทเอกชน ก็ควรเร่งฝึกฝีมือในการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่าง ๆ ซึ่งมีผู้ที่ต้องการจ้างงานจำนวนมาก แต่หากต้องการเป็นนายตัวเอง ก็ควรมีช่อง YouTube หรือเปิดหน้าร้านขายสินค้าของตัวเอง เพื่อสะสมชื่อเสียงและขยายฐานลูกค้า ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการมีเป้าหมายเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้รู้ได้ว่าควรพัฒนาตัวเองไปด้านใดจึงจะประสบความสำเร็จเร็วที่สุด

2. มีแนวทางในการใช้และเก็บเงิน

ในปัจจุบันมีภาะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทั้งจากปัจจัยในและต่างประเทศ การเรียนรู้ที่จะเก็บเงิน อย่างน้อย 1 ใน 3 ส่วนของเงินที่ได้มา เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ และยังต้องนำเงินเก็บไปลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ด้วย เช่น การเล่นหุ้นแนวปันผล การซื้อกองทุน ฯลฯ จะเห็นได้ว่าการประสบความสำเร็จในชีวิตต้องมีเรื่องการบริหารเงินและการลงทุนแบบมืออาชีพมาเกี่ยวข้องด้วย จึงเป็นอีกศาสตร์ที่คนต้องการประสบความสำเร็จต้องศึกษาอย่างต่อเนื่อง

3. การเพิ่มเพื่อนใหม่ที่ดี

การอยู่ในสังคมเดิม ๆ จะทำให้คุณพลาดโอกาสในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และยังทำให้ไม่ได้พัฒนาตัวเองเท่าที่ควร จึงควรลงเรียนในคอร์สเสริมความรู้หลากหลายและทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ เพื่อให้คุณได้มีโอกาสศึกษาผู้คนและนำประสบการณ์ที่หลาย ๆ คนบอกเล่า มาปรับใช้กับตัวเองให้ก้าวหน้าได้ดีขึ้น เป็นการเรียนรู้แบบลัดสั้นที่ใคร ๆ ก็ทำตามคุณได้ยาก

4. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายนอกจากทำให้สุขภาพกายแข็งแรงแล้ว ยังทำให้สุขภาพจิตดีและสมองปลอดโปร่งมากขึ้นด้วย มีการวิจัยพบว่าคนที่มีความเครียดสะสมและโรคซึมเศร้า เมื่อได้มาออกกำลังกายต่อเนื่อง จะทำให้สมองมีการหลั่งสารสื่อประสาทชนิดดี ทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานและมีอารมณ์ดีขึ้นอย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำให้ตัวเองประสบความสำเร็จมากขึ้น ต้องมีการวางแผนและวางเป้าหมายให้ชัดเจน ที่สำคัญคือ ต้องมีวินัยเพื่อให้ก้าวถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วด้วย เราหวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางที่ดีสำหรับการเข้าสู่ความสำเร็จในปี 2020 นี้

เริ่มทำแล้วจะประสบความสำเร็จ

วิธีลดความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้

ภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงผู้สูงอายุ อาการ ได้แก่ มีน้ำมูกสีใส คันจมูก จามบ่อย มีผื่นแพ้คันที่ผิวหนัง หากรุนแรงอาจหอบหืด ช็อกและเสียชีวิตได้ เรามาดูกันว่า จะป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ได้อย่างไรบ้าง

ลดการบริโภคผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดง

มีการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มนมวัวและรับประทานผลิตภัณฑ์จากเนื้อแดง มีแนวโน้มเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์หากมีการบริโภคนมวัวมาก ก็จะทำให้ลูกเป็นภูมิแพ้ตั้งแต่แรกเกิดได้

รับประทานวิตามิน อาหารเสริม

การรับประทานน้ำมันปลาสกัดหรือ Fish Oil นอกจากจะช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดแล้ว ยังสามารถช่วยลดปัญหาภูมิแพ้ได้ โดยการรับประทานขนาด 1,000 มิลลิกรัม วันละ 1 เม็ด เป็นประจำ ทั้งนี้ควรเลือกยี่ห้อที่มีการทดสอบสารปนเปื้อนโลหะหนักด้วย เพราะอาจจะสะสมในร่างกายหากรับประทานเป็นประจำได้

ทำความสะอาดห้องนอน

ในห้องนอนมักมีไรฝุ่นและเชื้อโรคที่สะสม เนื่องจากขาดการทำความสะอาดที่ดีพอ การนำที่นอนไปตากแดดแรงจัดเป็นประจำจะช่วยให้ไร้ฝุ่นถูกกำจัดได้ดีขึ้น หากไม่สามารถทำด้วยตัวเอง แนะนำให้ใช้บริการของบริษัทเอกชนที่มีเครื่องกำจัดไรฝุ่นที่มีอุปกรณ์อย่างครบถ้วน

งดการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในบ้าน

สัตว์เลี้ยงจำพวกสุนัขและแมวจะผลัดขน และมีเศษรังแค สะเก็ดผิวหนังที่หลุดร่วงปลิวตามอากาศได้ ทำให้เด็กและผู้สูงอายุเกิดอาการภูมิแพ้ได้ง่าย หากมีสัตว์เลี้ยงควรเลี้ยงในที่จำกัดอย่างเหมาะสม และไม่ควรให้อยู่ในบ้าน

มีชั้นวางรองเท้าอยู่หน้าบ้าน

หลายคนจะถอดรองเท้าอยู่ในห้องหรือคอนโดมิเนียม ซึ่งฝุ่นจะฟุ้งกระจายได้ ควรซื้อตู้เก็บรองเท้าไว้ให้มิดชิด หรือหากมีพื้นที่หน้าบ้าน ก็ควรมีพรมเช็ดเท้าและวางตู้ใส่รองเท้าไว้ด้านนอก

ออกกำลังกายเป็นประจำวัน

หากว่ายน้ำ วิ่ง หรือปั่นจักรยานเป็นประจำทุกวัน ครั้งละ 30-45 นาที ต่อเนื่อง 1-2 เดือน จะสังเกตได้ว่าอาการโรคภูมิแพ้ลดลง รวมถึงจะไม่เป็นหวัดด้วย เพราะระบบเม็ดเลือดขาวทำงานต่อสู้กับเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกายได้ดีขึ้น

ล้างแอร์เป็นประจำ

คนที่มีอาการภูมิแพ้จากการนอนในห้องแอร์ ควรตรวจสอบว่ามีการล้างแอร์เป็นประจำทุก 3-6 เดือนหรือไม่ ความอับชื้นและคราบน้ำที่ตกค้างในเครื่องจะทำให้มีเชื้อราตามมา ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นภูมิแพ้เรื้อรังได้

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านได้ควบคุมปัจจัยที่กระตุ้นอาการภูมิแพ้ได้ดียิ่งขึ้น หากทำตามที่แนะนำแล้วอาการไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจหาสาเหตุที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ต่อไป

ภูมิแพ้เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ทุกเพศทุกวัย

จะทำธุรกิจออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จอย่างไรในปี 2019

การทำ ธุรกิจออนไลน์ เป็นที่นิยมมากในปี 2019 เนื่องจาก เป็นช่องทางการซื้อขายที่สะดวกสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ เชื่อมโยงผู้คนได้ทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง อาศัยเพียงระบบอินเทอร์เน็ตความเร็วระดับ 5G ที่มีในโทรศัพท์มือถือเครื่องเดียว ก็สามารถหาข้อมูลร้านค้าและตกลงซื้อขายสินค้ากันได้แล้ว

หากต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ในปี 2019 ผู้เชี่ยวชาญการตลาดยุคใหม่แนะนำว่า ต้องเกิดจากความเอาใจใส่ในองค์ประกอบต่างๆ ต่อไปนี้

1. เทคนิคทำการตลาด SEO

SEO หรือ Search Engine Optimization เป็นสิ่งที่ Yahoo, Bing และ Google หรือที่เรียกรวมๆว่า Search Engine กำหนดหลักเกณฑ์ไว้สำหรับคัดกรองคุณภาพของเว็บไซต์ ให้เฉพาะเว็บไซต์ชั้นนำที่ทำ SEO อย่างสม่ำเสมอปรากฏผลในหน้าต่างการสืบค้นเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งมีการวิจัยว่าสอดคล้องกับผลรายได้ที่มากขึ้น และทำให้ขยายฐานลูกค้าได้เป็นอย่างดี

2. สินค้าต้องสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์

คนรุ่นใหม่นิยมสินค้าที่ใช้งานง่าย สะดวก น้ำหนักเบา เหมาะกับการพกพา ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ไอที Gadget ต่างๆ ขณะเดียวกันก็ต้องมีความสวยงาม ส่งเสริมภาพลักษณ์ของความเป็นคนทันสมัยด้วย ผู้ทำธุรกิจออนไลน์จึงต้องใส่ใจพัฒนาสินค้าอยู่เสมอ

3. ทำโฆษณาในช่วงเวลาที่เหมาะสม

การโปรโมทสินค้าใหม่หรือการกระตุ้นยอดขายด้วยโปรโมชั่นต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มยอดขาย กระตุ้นการรับรู้ของผู้บริโภคได้ โดยเฉพาะแบรนด์สินค้าออนไลน์น้องใหม่ ที่ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ควรทำการโฆษณาด้วยเทคนิค SEM ที่ย่อมาจาก Search Engine Marketing จะสามารถสื่อสารไปถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้อย่างมาก

4. ใช้โซเชียลเชื่อมต่อลูกค้า

การใช้ระบบอินเทอร์เน็ต 5G เช่น การส่งอีเมล์ การทำ Facebook กลุ่ม Line จะช่วยเสริมศักยภาพในการแข่งขัน ทำให้เกิดการเชื่อมโยงข่าวสาร อัปเดตโปรโมชั่น หรืออีเว้นท์ต่าง ๆ ได้อยู่เสมอ การติดตามลูกค้าเก่าให้มาใช้บริการซ้ำ โดยมีส่วนลดจากรหัสที่มอบให้หรือ Gift Voucher คูปองส่วนลด ยังเป็นเทคนิคที่สามารถกระตุ้นยอดขายให้แบรนด์สินค้าของคุณได้เป็นอย่างดี

5. การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี

การสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่แบรนด์ เช่น การร่วมเป็นสปอนเซอร์ในกิจกรรมเพื่อการกุศล การสมทบทุนเพื่องานด้านจิตอาสา ฯลฯ จะทำให้ลูกค้าเป้าหมายสนใจในแบรนด์ของคุณมากขึ้น การมีภาพลักษณ์ที่ดี จะทำให้เกิดการบอกต่อให้มาสนับสนุนกิจการของคุณ ซึ่งเป็นเทคนิคการตลาดที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้อย่างมาก

จะเห็นได้ว่า การทำธุรกิจออนไลน์ในยุค 2019 ต้องอาศัยเทคนิคทางการตลาดหลายวิธี ที่จะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ ไม่ใช่เพียงการโฆษณา แต่ต้องพัฒนาสินค้าและใส่ใจการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ส่งเสริมงานด้านจิตอาสาหรือสิ่งแวดล้อมด้วย จึงจะได้เสียงตอบรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างยั่งยืน

การประสบความสำเร็จในธุรกิจออนไลน์ในปี 2019

วิธีดูแลสุขภาพให้ ห่างไกลจากความดันสูง

โรคความดันโลหิตสูงจัดเป็นโรคเรื้อรังที่กระทรวงสาธารณสุขของไทย ต้องการลดจำนวนผู้ป่วยอย่างเร่งด่วน เนื่องจากปัจจุบันมีตัวเลขสถิติพบว่าคนไทยเป็นโรคหลอดเลือดสมองแตก อัมพฤกษ์ และโรคไตวายมากขึ้น โดยมาจากปัญหาเบื้องต้น คือ การมีค่าความดันเลือดสูงเป็นจำนวนมาก

โรคความดันโลหิตสูง หมายถึง ค่าความดันตอนที่หัวใจบีบและคลายตัว ที่ควรจะมีค่าตัวเลขไม่มากกว่า 140 และ 90 มิลลิเมตรปรอท ตามลำดับ

ผู้ที่มีค่าความดันสูงกว่าเกณฑ์ 140/90 จะเรียกว่ามีภาวะความดันโลหิตสูง ที่จำเป็นจะต้องทำการหาสาเหตุ เช่น สอบถามประวัติคนในครอบครัว พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อการปรับเปลี่ยนลดปัจจัยเสี่ยงอย่างเหมาะสม และอาจต้องใช้ยาร่วมด้วย เพื่อควบคุมความดันไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น และมีโรคแทรกซ้อนตามมา

สาเหตุของโรคความดันโลหิตสูง

หนึ่งในสามของผู้ป่วยความดันสูง มักมีการส่งทอดทางพันธุกรรม เช่น ปู่ย่าตายายเคยเป็นความดันสูง ลูกหลานก็มีโอกาสเป็นมากขึ้น และที่เหลือมักจะมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน ได้แก่ การรับประทานอาหาร ที่มีเกลือ ผงชูรส ผงฟูเป็นส่วนประกอบ ซึ่งมักจะอยู่ในอาหารกลุ่มน้ำพริก ซอส ซีอิ๊ว น้ำปลา เต้าเจี้ยว ขนมปังเบเกอรี่ขนมกรุบกรอบต่าง ๆ ที่ โดยรวมแล้วทำให้ได้รับโซเดียมปริมาณสูงมากกว่า 2,000 มิลลิกรัมในแต่ละวัน ซึ่งเป็นเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนดไว้

หากไม่ต้องการเป็นความดันโลหิตสูง ควรที่จะดูแลเรื่องของอาหารการกินในเบื้องต้น รับประทานอาหารที่ไม่ติดมัน เน้นอาหารสดใหม่ ไม่ปรุงรสชาติ ไม่ใส่ซอสต่าง ๆ มากเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง เพราะจะมีการใส่เกลือเพื่อรักษาสภาพอาหารให้เก็บได้นาน นอกจากนี้ ควรเพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้สด แทนการรับประทานขนมปังขนมกรุบกรอบทุกชนิด จะทำให้ลดปริมาณเกลือที่ร่างกายจะได้รับด้วย

ขณะเดียวกัน ต้องเพิ่มการออกกำลังกาย ควรจะทำเป็นแบบแอโรบิค หรือออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น การเดินต่อเนื่องกัน 30 นาที การว่ายน้ำ จะช่วยให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญและปรับสมดุลของระบบไหลเวียนโลหิตได้ดียิ่งขึ้น

สำหรับผู้ที่ชอบการปาร์ตี้ ดื่มสุราและสูบบุหรี่เป็นประจำ มีงานวิจัยพบว่าจะส่งผลให้เส้นเลือดทั่วร่างกายมีภาวะอักเสบ ขาดความยืดหยุ่น ทำให้หัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย ผลลัพธ์คือ ทำให้ความดันโลหิตเพิ่มตามไปด้วย จึงควรลด ละ เลิก พฤติกรรมการปาร์ตี้ลง

เราหวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านใส่ใจการ ดูแลสุขภาพ ทั้งเรื่องของอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหมั่นตรวจสุขภาพวัดความดันโลหิตเป็นประจำ ซึ่งสามารถที่จะซื้อเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติประจำไว้ที่บ้าน หรือขอวัดความดันโลหิตกับคลินิกสถานพยาบาลต่าง ๆ ได้ เพื่อเฝ้าระวัง จะช่วยให้ห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงได้มากขึ้น

วิธีดูแลสุขภาพให้ ห่างไกลจากความดันสูง

ดูแลสุขภาพอย่างไรให้ห่างไกล โรคหวัด

โรคหวัดเป็นโรคติดเชื้อไวรัส ที่พบได้บ่อยในคนไทยช่วงอากาศเปลี่ยนอย่างฤดูฝนฤดูหนาว โดยเฉพาะคนที่มีความต้านทานอ่อนแอ อย่างเด็กเล็กและผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว เช่น ภูมิแพ้ หอบหืด หากปล่อยให้อาการลุกลามจะมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน กลายเป็นโรคปอดบวม คออักเสบ หรือเป็นไข้หวัดใหญ่ตามมาได้

เราจึงได้รวบรวมเทคนิคในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลหวัดมาฝากกัน ดังนี้

1. ดื่มน้ำสะอาด วันละ 6-8 แก้ว เพื่อให้ระบบอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้เป็นปกติ โดยเฉพาะการไหลเวียนโลหิต ระบบภูมิต้านทาน และกระบวนการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย หากดื่มน้ำไม่เพียงพอจะทำให้เลือดมีความข้นหนืด ทำให้การนำส่งเซลล์เม็ดเลือดขาวไปต่อสู้กับเชื้อโรคทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงเป็นหวัดรุนแรงง่ายขึ้น

2. การนอนหลับสนิทให้เพียงพอ เฉลี่ยวันละ 6-8 ชั่วโมง โดยมีการวิจัยพบว่าช่วงเวลาที่คนเราควรหลับสนิทคือ เวลาสี่ทุ่มถึง ตีสอง เพื่อให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนที่สำคัญคือ โกรทฮอร์โมน มาฟื้นฟูสภาพการทำงานของเซลล์ได้อย่างดี ทั้งช่วยให้ตับและไตทำหน้าที่กำจัดสารพิษที่สะสมมาตลอดวันออกจากระบบเลือด เพื่อขับออกทางปัสสาวะอุจจาระตอนเช้า (ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมีการขับถ่ายเป็นกิจวัตร) ได้ดีขึ้นด้วย ผู้ที่อดนอนจากการทำงานหนักหรือมีความเครียดสูงจนหลับไม่สนิท จะทำให้เสี่ยงต่อการเป็นหวัดมากขึ้นหลายเท่าตัว

3. การออกกำลังกายเป็นประจำวันละ 30 นาที อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง จะช่วยกระตุ้นให้ระบบเม็ดเลือดขาวได้ดีขึ้น จึงช่วยป้องกันทั้งไวรัสหวัดและโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้อีกมาก

4. รับประทานอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน เพื่อช่วยสร้างความอบอุ่นให้แก่ร่างกาย ได้แก่ ขิง ข่า กระเทียม พริก พริกไทย ตะไคร้ หอมแดง หัวหอมใหญ่ ฯลฯ นอกจากนี้ ควรเสริมผักผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูง เช่น กีวี ส้ม มะนาว ฝรั่ง ผักกาดเขียว ฯลฯ ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพของระบบภูมิต้านทานดีขึ้น

5. หลีกเลี่ยงการเดินทางในระหว่างที่มีฝนตก เพราะละอองฝนที่เปียกซึมตามเสื้อผ้าและเส้นผม จะเพิ่มความอับชื้นหลายชั่วโมง ทำให้ป่วยเป็นหวัดได้ง่าย ๆ ทั้งนี้ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีรูระบายอากาศได้ดี และต้องพกหมวก ร่ม เสื้อกันฝน รวมถึงอุปกรณ์ทำผมแห้ง เช่น ไดร์เป่าผม ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดตัว ฯลฯ ติดตัวไว้เสมอ เพื่อรับมือกับฝนที่อาจตกได้ตลอดเวลา

จะเห็นได้ว่า เทคนิคการดูแลสุขภาพที่กล่าวมาทั้ง 5 ข้อ เป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการทำให้ทุกท่านห่างไกลหวัดได้จริง หากนำไปปฏิบัติเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัว ก็มั่นใจได้ว่าจะมีสุขภาพที่ดี แม้จะมีฝนตกก็ไร้กังวลอย่างแน่นอน

เทคนิคในการดูแลสุขภาพให้ห่างไกลหวัดม

รู้ไหม น้ำผลไม้ปั่นมีประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด

น้ำผลไม้ปั่นเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่เหมาะกับทุกเพศทุกวัย นอกจากจะทำให้รู้สึกสดชื่นแล้ว ยังเสริมวิตามินและเกลือแร่นานาชนิดแก่ร่างกายด้วย

ในบทความนี้ เราจึงนำน้ำผลไม้ปั่น 4 ชนิด มาบอกเล่าถึงประโยชน์ที่จะทำให้ทุกคนอยากดื่มน้ำผลไม้สดเพื่อสุขภาพมากขึ้น ดังนี้

1. น้ำแตงโมปั่น

แตงโมเป็นผลไม้ที่รับประทานได้ตลอดทั้งปี สามารถให้วิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดบำรุงร่างกายได้รอบด้าน ทั้งเส้นใยไฟเบอร์ที่ช่วยลดปัญหาท้องผูก วิตามินเอบำรุงสายตา แคลเซียมและแมกนีเซียมสำหรับบำรุงกล้ามเนื้อและกระดูก ฯลฯ ที่สำคัญในแตงโมมีสารธรรมชาติ ชื่อ citrulline ซึ่งช่วยในการขยายหลอดเลือดแดง ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและโรคความดันโลหิตสูงได้เป็นอย่างดี

2. น้ำสับปะรดปั่น

สับปะรดเป็นผลไม้ที่มีเส้นใยสูง รวมถึงให้วิตามินและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม แมงกานีสฟอสฟอรัส ที่ช่วยปรับสมดุลของร่างกายให้ทำงานเป็นปกติวิตามินบี สำหรับบำรุงระบบประสาท กรดโฟลิกและธาตุเหล็ก สำหรับบำรุงเลือดให้ห่างไกลจากโรคโลหิตจางได้ ที่แตกต่างจากผลไม้ชนิดอื่นคือ สับปะรดมีเอนไซม์ชื่อ Bromelain ที่ช่วยในการย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และทำให้การดูดซึมสารอาหารต่าง ๆ ทำได้ดียิ่งขึ้น มีการวิจัยว่า ผู้ที่ดื่มน้ำสับปะรดเป็นประจำจะสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนิ่วและกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้

3. น้ำแครอทปั่น

เป็นผลไม้ที่มีสีส้มน่ารับประทาน อุดมไปด้วยวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนบํารุงสายตา ลดความเสี่ยงของการเป็นโรคต้อกระจกได้ นอกจากนี้ ในแครอทยังมีสารเฉพาะตัว ชื่อ Falcarinol ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ จึงลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งได้หลายชนิด เมื่อดื่มน้ำแครอทเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายได้รับวิตามินอีและธาตุเหล็กที่เข้มข้น ช่วยในการบำรุงระบบเลือดและผิวพรรณ ทำให้แลดูอ่อนกว่าวัยได้

4. น้ำแอปเปิ้ลปั่น

การดื่มน้ำแอปเปิ้ลวันละ 1-2 แก้ว จะทำให้ได้รับวิตามินซีและวิตามินเอที่เข้มข้น ซึ่งช่วยในการบำรุงสายตาและหลอดเลือดได้ นอกจากนี้ ยังมีการวิจัยพบว่าในแอปเปิ้ลมีกรด Malic และกรด Tartaric ที่สามารถย่อยอนุภาคโปรตีนและกรดไขมันอิ่มตัวในร่างกาย จึงเหมาะสำหรับการดื่มทั้งเวลาท้องว่างและหลังอาหาร จะช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและการขับถ่ายดีขึ้น

น้ำผลไม้ทั้ง 4 ชนิด ที่กล่าวมาเป็นเครื่องดื่มใกล้ตัวที่ช่วยให้คุณมีสุขภาพดี ทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะมีน้ำตาลต่ำและผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้นร่างกาย หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านหันมาดื่มน้ำผลไม้ปั่น เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีจากภายในกันมากขึ้น

การดื่มน้ำแอปเปิ้ลวันละ 1-2 แก้ว จะทำให้ได้รับวิตามินซี

5 สถานที่เสี่ยงภัยที่เด็ก ๆ ไม่ควรไปลำพัง

“สถานที่เสี่ยงภัยที่เด็ก ๆ ไม่ควรไป” เป็นสิ่งที่ผู้ปกครองต้องระมัดระวังเป็นอย่างดี เนื่องจากอาจเกิดอันตรายที่ไม่คาดคิดได้หากปล่อยให้เด็กอยู่ลำพังหรือไปตามสถานที่นั้น ผู้ปกครองควรอยู่ด้วยและคอยดูแลอย่างใกล้ชิดความปลอดภัยของเด็กนั้นขึ้นอยู่กับครอบครัว อันตรายสามารถเกิดขึ้นได้ไม่ว่าจะภายในบ้านหรือนอกบ้านก็ตาม

ทุกวันนี้อันตรายมีอยู่รอบด้านเพียงก้าวเท้าออกจากบ้าน อีกทั้งกลุ่มมิจฉาชีพก็มีอยู่ทั่วไป ดังนั้นการดูแลป้องกันรักษาความปลอดภัยของเด็ก ที่ผู้ปกครองไม่ควรให้คลาดสายตา และตรวจสอบความปลอดภัยของสถานที่ที่ไปเป็นอย่างแรก รวมถึงผู้คนและสิ่งของเป็นการป้องกันเบื้องต้นที่คุณจะสามารถทำได้ และนอกจากนี้ยังมีสถานที่อันตรายที่เราไม่ควรปล่อยให้เด็กอยู่หรือไปเพียงลำพังโดยเด็ดขาด สำหรับสถานที่เสี่ยงภัยที่เด็ก ไม่ควรไปเพียงลำพังได้แก่

1.สระน้ำและแม่น้ำลำคลอง

สระน้ำและแม่น้ำลำคลองเป็นพื้นที่ที่หลายต่อหลายครั้งที่ผ่านมาได้พรากชีวิตของเด็กไปนักต่อนัก ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของเด็กที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ส่วนใหญ่เด็กมักจะชักชวนกันไปเล่นน้ำแล้วไม่ได้ขออนุญาตผู้ปกครอง ถ้าเป็นไปได้ผู้ปกครองควรมีพื้นที่ให้เด็กได้เล่นภายในบ้านอย่างปลอดภัยจะดีกว่า การปล่อยให้เด็กออกไปเล่นน้ำหรือไปสระน้ำเพียงลำพังนั้นเสี่ยงต่อการจมน้ำมาก

2.ที่สูง

ในบริเวณที่เป็นที่สูงไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะสูงหรือเครื่องเล่นที่สูงเกินไปที่เด็กจะสามารถพยุงตัวเองได้นั้น ไม่ควรปล่อยให้เด็กเล่นอยู่ลำพังเด็กอาจพลัดตกลงมาได้ ควรให้ความระมัดระวังอย่างมาก

3.ห้องครัว

ในห้องครัวเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยเครื่องครัวและอุปกรณ์หลายอย่างในการประกอบอาหาร อุปกรณ์บางอย่างเด็กไม่ควรอยู่ใกล้และสัมผัส เช่น พริกป่น พริกไทย น้ำส้มสายชู มีด อุปกรณ์ที่มีคมต่าง ๆ กาน้ำร้อน เป็นต้น ที่เด็กอาจเผลอสัมผัส หรือหยิบมาเล่น หรือกินเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์

4.ป่ารกทึบ

บริเวณที่เป็นป่ารกทึกหรือที่มีหญ้ารกในชุมชนรวมถึงบริเวณที่มีความสกปรกเป็นที่สะสมของเชื้อโรคและสัตว์มีพิษ จึงไม่ควรปล่อยให้เด็กเข้าไปเล่น อาจจะถูกยุงกัด สัตว์มีพิษกัดหรือติดเชื้ออื่น ๆ มาตามร่างกายได้

5.ถนน

ตามท้องถนนเป็นที่ที่มีรถขับไปมาตลอดเวลา และเด็กยังไม่สามารถเอาตัวรอดหรือข้ามถนนเองได้ จึงไม่ควรปล่อยให้เด็กไปตามลำพังโดยเด็ดขาด เป็นสถานที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างมากเพราะรถที่ขับไปมาอาจไม่ทันเห็นเด็ก หรือเด็กอาจจะวิ่งออกไปจนรถไม่สามารถหยุดได้ทันจนเกิดอันตรายได้

สถานที่เสี่ยงภัยที่ผู้ปกครองไม่ควรปล่อยให้เด็กไปนั้นเป็นสถานที่ที่เด็กไม่สามารถเอาตัวรอดหรือดูแลตัวเองได้ สามารถเกิดอะไรขึ้นได้ทุกเมื่อ อันตรายมีอยู่ทั่วไปหากผู้ปกครองไม่รอบคอบและดูแลให้ดี ดังนั้นควรตรวจสอบความปลอดภัยสม่ำเสมอ วางกฎระเบียบให้เด็กมีวินัยและขออนุญาตก่อนไปไหนมาไหนเสมอ รวมทั้งสอนให้เด็กรู้จักระวังภัยรูปแบบต่าง ๆ อยู่เสมอ

สถานที่เสี่ยงภัยที่เด็ก ไม่ควรไปเพียงลำพัง

4 วิธีป้องกันไม่ให้เกิดอาการออฟฟิศซินโดรม

ออฟฟิศซินโดรม โรคยอดฮิตของหนุ่มๆ สาวๆ วัยทำงานอย่างเราเรา ที่ทำงานในออฟฟิศ ที่ต้องนั่งเป็นเวลานานๆ ติดต่อกัน ซึ่งในปัจจุบันถือเป็นอาการที่พบได้บ่อย ที่หากเรายังละเลยในตอนนี้ อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้

อาการของออฟฟิศซินโดรม

อาการเหล่านี้ได้แก่ อาการปวดศีรษะ ปวดเมื่อยหรือเกร็งตามกล้ามเนื้อส่วนตัวต่างๆ มีอาการเจ็บ ตึงและชาตามอวัยวะต่างๆ นิ้วล็อก นอนไม่หลับ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้ ในเบื้องต้นถือว่าอาจจะไม่รุนแรง จนบางคนก็ไม่ได้ใส่ใจ เลือกแก้ปัญหาเพียงทานยาแก้ปวด บีบนวด พอหายหรือดีขึ้นก็จบไป แต่จริงๆแล้ว เราหารู้ไม่ว่า สิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการเบื้องต้น สาเหตุของโรคร้ายแรงที่ซ่อนอยู่ภายในโดยที่เราคาดไม่ถึงเลยก็ได้ ทางที่ดีเมื่อมีอาการบ่อยๆ ก็ควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

4 วิธีป้องกันไม่ได้เกิดโรคออฟฟิศซินโดรม

ปรับเปลี่ยนท่านั่งทุก ๆ 10 นาที

เวลาเราทำงาน เรามักจะนั่งยาวๆ และเผลอนั่งท่าเดิมนานๆ ดังนั้น คุณควรจะปรับเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ขยับบ้าง แรกๆ อาจจะตั้งเวลาเพื่อคอยเตือน แต่พอเราทำบ่อยๆ แล้วร่างกายจะสามารถปรับได้อัตโนมัติ และท่านั่งที่เหมาะสมควรนั่งหลังตรง ไม่งอหรือเกร็งจนเกินไป อาจจะหาเบาะรองหลังมาช่วยเพื่อให้เราไม่เมื่อยล้าจนเกินไป เพื่อผลดีระยะยาวของกระดูกสันหลังของเรา

พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่หักโหมจนเกินไป

กฎหมายแรงงาน ระบุว่าระยะเวลาในการทำงานต่อวันคือ 8 ชั่วโมง และมีการพัก 1 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายเราได้พักผ่อนและเติมพลังงาน สิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ตรงกับสุขภาพร่างกายของเราไม่ให้ร่างกายทำงานหนักจนเกินไป จริงอยู่ว่าเราอาจจะบอกว่ายังไหวอยู่ งานเยอะ ขออีกนิด งานเร่ง ฯลฯ นานาจิตตัง แต่หากวันใดที่ร่างกายทนไม่ไหวและล้มป่วยลง เราอาจจะสูญเสียมากกว่าแค่คำว่างานไม่เสร็จก็ได้ ทำงานแล้วอย่าลืมหาเวลาพักและนอนให้ได้อย่างน้อยวันละ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำเพื่อดูแลร่างกายตัวเอง

จัดสภาพแวดล้อมให้ดีอยู่เสมอ

บรรยากาศในการทำงานนั้นสำคัญมากๆ เป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะส่งผลต่อการทำงานของคุณเป็นอย่างมาก ควรจัดให้สวยงามเหมาะสม สบายตาอยู่เสมอ ไม่ควรรกจนเกินไป คุณควรมีหนังสือไว้อ่านคลายเครียด ,ภาพสวยๆ ไว้เป็นแรงบันดาลใจ ต้นไม้เขียวๆ สักต้นบนโต๊ะ หรือมีมุมจัดวางของน่ารักๆ ไว้ข้างๆ เพื่อที่จะช่วยผ่อนคลายและพักสายตาในยามที่เราเหนื่อยล้าได้

ทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกาย

การรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ และหาเวลาไปออกกำลังกายอยู่เสมอ จะช่วยให้เราห่างไกลโรคออฟฟิศซินโดรม อีกทั้งยังทำให้สุขภาพกายและสุขภาพจิตของเราดี สดชื่น สดใส พร้อมรับมือกับงานหนักในวันต่อๆไปได้อีกด้วย

มีสุภาษิตว่า “งานหนักไม่เคยฆ่าใคร” แต่เมื่อต้องทำงานหนักแล้ว ก็อย่าลืมดูแลตัวเองอย่าสม่ำเสมอ บางครั้งสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ถือว่ามีความสำคัญที่เราไม่ควรมองข้าม อย่าลืมใส่ใจสุขภาพตัวเองกันเพื่อให้ห่างไกลจากโรคออฟฟิศซินโดรม

อาการของออฟฟิศซินโดรม

วิธีดูแลสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

โรคมะเร็งเป็นโรคที่ทำให้มีความทรมานและทำให้เสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินการรักษาเป็นอย่างมาก ซึ่งความเสี่ยงต่อโรงมะเร็งแต่ละชนิดในเพศชายและหญิงมีความแตกต่างกัน เช่น มะเร็งที่พบมากในเพศชาย คือมะเร็งปอดและมะเร็งตับ ส่วนเพศหญิงเป็นมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งเต้านม ซึ่งเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม การรับประทานอาหาร การใช้ชีวิตประจำวัน ฯลฯ

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมวิธีการดูแลสุขภาพอย่างง่ายที่ทุกคนนำไปปรับใช้ได้เพื่อให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

1. ออกกำลังกายเป็นประจำ ได้แก่ ว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ ฟุตบอล เทนนิส ฯลฯ ก็ช่วยทำให้ห่างไกลโรคมะเร็งได้ เนื่องจากลดความเครียดและทำให้ร่างกายหลั่งสารเคมีและฮอร์โมนเพื่อปรับสมดุลของระบบต่าง ๆ ได้ ทั้งนี้ ควรออกกำลังกาย เป็นประจำ วันละ 30 นาที

2. หาวิธีในการคลายเครียด เช่น การทำสมาธิ ฟังเพลง ฝึกฝนการมองโลกในแง่ดี ฯลฯ จะทำให้อารมณ์ดี ความเครียดลดลง ทำให้ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งได้ เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า ความเครียดทำให้ภูมิต้านทานลดลงแล้วทำให้เป็นมะเร็งหลายชนิดตามมา

3. กินผักผลไม้เป็นประจำ โดยเฉพาะที่ประเภทที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ได้แก่ฝรั่ง ส้ม แครอท มะเขือเทศ ข้าวโพด ทั้งยังทำให้ได้รับวิตามินเอ เบต้าแคโรทีน บำรุงสายตา และเส้นใยไฟเบอร์ เพื่อลดปัญหาท้องผูก และช่วยลดมะเร็งในระบบทางเดินอาหารได้

4. ไม่กินอาหารเดิมซ้ำ ๆ ในแต่ละวันควรกินอาหารที่มีความหลากหลาย เพื่อลดการสะสมสารเคมีและยาฆ่าแมลง รวมถึงสารอันตรายจากการประกอบอาหาร เช่น ไม่รับประทานอาหารหมักดองเค็มบ่อย ๆ เพราะเสี่ยงต่อการได้รับสารไนโตรซามีนที่ก่อมะเร็ง เลือกการรับประทานถั่วที่สะอาดปลอดภัยไม่มีเชื้อรา ที่ทำให้เสี่ยงต่อสารอัลฟ่าท็อกซิน ไม่รับประทานอาหารปิ้งย่างเป็นประจำ เพราะส่วนที่ไหม้ทำให้เป็นมะเร็งในระยะยาวได้

5. การหลีกเลี่ยงบุหรี่ ยาเสพติดและแอลกอฮอล์ เพราะนอกจากทำให้เป็นมะเร็ง เช่น ที่ตับ ปอด หลอดลม ฯลฯ ยังมีผลเสียต่ออวัยวะหลายส่วนและทำให้เป็นโรคหัวใจ ความดัน ไขมันในเลือดสูงด้วย

6. การตรวจร่างกายเป็นประจำอย่างน้อยทุกปี จะทำให้พบมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ และรีบทำการรักษาได้ทันก่อนจะลุกลาม และถ้าพบความผิดปกติใด ๆ เช่น น้ำหนักลด ไอเรื้อรัง ท้องผูก ท้องเสีย โดยไม่ทราบสาเหตุ ฯลฯ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการหาสาเหตุและรักษาอย่างรวดเร็ว จะทำให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งได้

จะเห็นได้ว่า ทุกข้อที่กล่าวมา เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ หวังว่าบทความนี้จะทำให้ทุกท่านใส่ใจสุขภาพและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้เหมาะสมยิ่งขึ้น

การตรวจร่างกายเป็นประจำ

« Older posts Newer posts »

© 2024 KorSan

Theme by Anders NorenUp ↑