KorSan

บล็อก เรื่องเล่า ตำนานเล่าขาน กีฬา และประวัติศาสตร์

Page 2 of 7

5 อันดับ เป้าหมายที่คนตั้งใจทำเยอะที่สุด ต้อนรับปีใหม่

นอกจากของขวัญที่มีการแลกเปลี่ยนกันแล้วไม่ว่าจากที่โรงเรียน ที่ทำงานหรือคนในครอบครัวแล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่คนมักจะให้ความสำคัญไม่แพ้กันคือ การตั้งเป้าหมายชีวิตว่าจะทำอะไรดีเป็นการต้อนรับและเริ่มต้นปีใหม่ ถือเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราจะเริ่มทำอะไรอย่างจริงจัง ฉะนั้นวันนี้เราจึงได้รวบรวมความตั้งใจที่คนนิยมทำมากที่สุดมาให้คุณได้นำไปเป็นแนวทางปฏิบัติ

ลดหุ่นและลดน้ำหนัก สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญและถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ทุนคือร่างกาย หากแข็งแรงดี มีเรี่ยวแรงแน่นอนจะนำไปสู่การทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสิ่งที่มุ่งหวัง อย่างเช่น การสร้างรายได้ สร้างครอบครัว สร้างฐานะ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้กำลังกายและใจ ทั้งสองสิ่งนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ

มีเงินเก็บและอดออม อย่างที่บอกไปว่าคนส่วนใหญ่จะถือว่าปีใหม่เป็นวันแห่งการเริ่มต้น ฉะนั้นบางคนจึงเลือกเวลานี้ในการอดออม เริ่มเก็บเงินตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นไปจนถึงสิ้นปี ถือเป็นการจำกัดระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน แต่หากสามารถทำได้จะทำให้เห็นว่าเวลาเท่านี้ เมื่อประหยัดแล้วจะสามารถสร้างเงินเป็นกอบเป็นกำได้มากทีเดียว

สร้างกิจการเป็นของตัวเอง สิ่งนี้มาจากความตั้งใจและอาจจะมีเรื่องของดวงเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะบางคนเมื่อถูกทักว่าเริ่มต้นทำธุรกิจในช่วงปีใหม่จะปัง ร่ำรวย เป็นเศรษฐี ทำให้คนเหล่านั้นมีแรงฮึดที่จะทำอะไรบางอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น ซึ่งควรมีการวางแผนให้ดี แม้ว่าจะเกิดข้อผิดพลาดแต่มันจะเป็นบทเรียน

ตั้งเป้าหมายเดินทางท่องเที่ยว ที่ผ่านมาหลายคนอาจจะกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวทำให้ผัดวันประกันพรุ่ง จนร่างกายไม่ได้พักผ่อน ฉะนั้นจึงได้ถือฤกษ์นี้ในการตั้งเป้าหมาย ให้ตัวเองและคนรอบข้างได้ผ่อนคลาย ทำกิจกรรมร่วมกันมากขึ้น ซึ่งอาจจะตั้งเป้าหมายไว้เลยว่าปีนี้จะเที่ยวกี่ครั้ง ที่ไหนบ้าง

จัดการชีวิตให้เป็นระเบียบมากขึ้น หลายคนใช้ชีวิตในแต่ละวันแบบยุ่งเหยิงโดยที่ไม่รู้ตัวและไม่คิดจะปรับ จึงถือช่วงปีใหม่เป็นการเริ่มต้น เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้มีระเบียบมากขึ้น หากทำได้คุณจะมีเวลาทำอะไรเพิ่มหลายอย่าง

ปีใหม่นี้หากคุณกำลังวางแผนหรือยังไม่รู้ว่าจะเริ่มทำอะไรดี ข้อมูลในวันนี้จะช่วยเป็นแนวทางให้คุณได้ ซึ่งแต่ละข้อก็ไม่ใช่เรื่องอยากอะไร หากทำได้ก็จะส่งผลดีต่อตัวเองและคนรอบข้างไม่น้อย ที่สำคัญอาจทำให้ชีวิตดีขึ้นก็ได้ อย่างไรใช้โอกาสนี้ในการเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง หากทำได้นั้นถือเป็นของขวัญชิ้นเยี่ยมเลยก็ว่าได้

สัตว์ตัวเล็กแสนน่ารัก เลี้ยงง่าย ดูแลได้ในคอนโด

การมีสัตว์เลี้ยงเป็นอีกหนึ่งวิธีแก้เหงาและเพิ่มความสดใสในชีวิตประจำวัน แต่แน่นอนว่าสัตว์แสนน่ารักเหล่านั้นมาพร้อมความรับผิดชอบที่ต้องเตรียมตัวรับมือให้ดี ยิ่งสำหรับคนที่อยู่อาศัยในคอนโดกลางเมือง ยิ่งต้องพยายามวางแผนการนำสัตว์มาเลี้ยงอย่างรอบคอบ ซึ่งหนึ่งวิธีลดปัญหาต่าง ๆ จากการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดคือการเลือกชนิดของสัตว์เลี้ยงให้เหมาะสม โดยควรมีขนาดเล็กและลักษณะนิสัยเรียบร้อยอย่างสัตว์ต่อไปนี้

1.แมว
แมวเป็นสัตว์ฉลาดและน่ารัก และใช้พื้นที่ไม่เยอะในการออกกำลังกาย สามารถช่วยให้เจ้าของผ่อนคลายได้เป็นอย่างดี แถมยังเป็นสัตว์สะอาด มีกลิ่นรบกวนน้อยมากถ้าทำความสะอาดอย่างถูกวิธี ต้องพยายามเลี้ยงในพื้นที่ที่อากาศถ่ายเทและพยายามทำความสะอาดขนฟู ๆ ของน้องแมวอย่างสม่ำเสมอ

2.สุนัขพันธุ์เล็ก
สุนัขนับเป็นเพื่อนคู่ใจมนุษย์มาตั้งแต่สมัยโบราณ เพราะเป็นสัตว์ที่ฉลาด สามารถฝึกให้ทำตามคำสั่งต่าง ๆ ได้ง่าย สุนัขที่ควรเลี้ยงในคอนโดควรเป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก เช่น ชิสุห์ ปอมเมอเรเนียน ชิวาวา นอกจากนั้นต้องพยายามเลือกสุนัขที่เห่าเสียงไม่ดังมาก จะได้ไม่รบกวนเพื่อนบ้านมากเกินไป

3.หนูประเภทต่าง ๆ
หนูเป็นอีกสัตว์เลี้ยงยอดนิยมเพราะเลี้ยงง่ายภายในกรง ค่อนข้างเงียบ ทานอาหารน้อย มีขนาดตัวเล็ก การดูแลทำความสะอาดทำได้ง่ายไม่ซับซ้อน แถมมีรูปลักษณ์ที่น่ารักนุ่มฟู แต่หนูเป็นสัตว์ที่เครียดง่าย อาจจะมีอาการเบื่อจนกัดแทะสิ่งของในกรง หรือมีอาการเฉาซึม ดังนั้นต้องคอยสังเกตพฤติกรรมอย่างใกล้ชิดเพื่อคอยปรับสิ่งแวดล้อมให้ตรงกับความต้องการของหนู

4.ปลาสวยงาม
ปลาเป็นสัตว์น้ำที่ยอดเยี่ยมและสวยงาม เหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดเป็นอย่างมาก แถมมีหลายสีหลายพันธุ์ แต่ปลาค่อนข้างอ่อนไหวกับอุณหภูมิของน้ำ และความสะอาดของตู้ปลา ดังนั้นต้องมั่นใจว่าจะสามารถดูแลตู้ให้อยู่ในสภาพที่เหมาะสมได้ตลอดเวลา

5.เต่าญี่ปุ่น
อีกหนึ่งสัตว์เลี้ยงยอดฮิตในปัจจุบันคือเต่าญี่ปุ่นนั่นเอง เต่านับเป็นสัตว์มงคลที่มีอายุขัยยาวนาน แถมเลี้ยงง่ายมาก ๆ เพียงแค่ต้องมีพื้นที่ในการอาบแดดรับแสงอย่างสม่ำเสมอเพราะเต่าเป็นสัตว์เลือดเย็น จึงต้องการแสงแดดมาเพิ่มอุณหภูมิร่างกายและช่วยให้ระบบต่าง ๆ ทำงานได้ตามปกติ อาหารการกินก็สามารถหาได้ง่ายตามร้านสัตว์ทั่วไป ไม่ค่อยมีเสียงและกลิ่นรบกวน จึงเหมาะกับการเลี้ยงในคอนโดอย่างยิ่ง

เมื่อได้เห็นรายชื่อสัตว์ที่เลี้ยงได้ในคอนโดแล้ว ทุกคนคงเจอสายพันธุ์ที่ถูกใจแล้วอย่างแน่นอน แต่อย่ารีบร้อนไป ใครที่กำลังสนใจจะหาสัตว์ตัวน้อยน่ารักมาเลี้ยง อย่าลืมสอบถามกฎระเบียบของที่อยู่อาศัยก่อน และอย่าลืมหาความรู้ ทำความเข้าใจสายพันธุ์ของน้อง ๆ ให้ดี เพื่อที่จะสามารถดูแลพวกเขาอย่างดีไปได้ตลอดชีวิตนั่นเอง

5 เหตุเลือดกำเดาไหลบอกอะไรได้บ้าง

อาการเลือดกำเดาไหล คงเป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป และส่วนใหญ่คงไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องร้ายแรง แต่ถ้าลองศึกษาให้เข้าใจและรู้เท่าทันจะพบว่าอาการ “เลือดกำเดาไหล” มีอันตรายซ่อนอยู่ อาการนี้คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไร และสามารถส่งสัญญาณอะไรได้บ้าง ไปทำความรู้จักกัน
“เลือดกำเดาไหล (Epistaxis)” เป็นอาการเลือดออกทางจมูก โดยมาจาก 2 ส่วน คือ โพรงจมูกด้านหน้า และด้านหลังโพรงจมูกซึ่งมักจะพบอาการรุนแรงถึงขั้นอันตรายมากกว่า อาการเลือดกำเดาไหลมีสาเหตุมาจากอะไร และส่งสัญญาณอันตรายอะไรได้บ้าง

1.โพรงจมูกได้รับการรบกวน
ในโพรงจมูกมีเส้นเลือดฝอยอยู่ซึ่งปกติจะไม่แตกหรือฉีกขาดง่าย ๆ แต่หากมีการแคะจมูกด้วยเล็บแหลมคม,ได้รับแรงกระแทกบริเวณจมูก เช่น หกล้ม โดนชก กระแทกของแข็งแรงๆ ก็สามารถทำให้เส้นเลือดฝอยแตก ฉีกขาดได้ อาการนี้เลือดจะไหลไม่มาก และไหลไม่นาน ประคบหรือนอนราบสักพักก็จะหายไป

2.ความผิดปกติของร่างกาย
หมายถึงการเป็นโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคที่เกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด, ความดันโลหิตสูง, โรคตับ หรือในผู้ป่วยที่ต้องรับประทานยาละลายลิ่มเลือด นอกจากนี้การขาดวิตามินเค ซึ่งเป็นตัวช่วยให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลได้เร็ว ก็ส่งผลให้เลือดกำเดาไหลได้ด้วยเช่นกัน มักพบในผู้ที่ทานยาปฏิชีวนะที่ไปทำลายแบคทีเรียในลำไส้ทำให้การสร้างวิตามินเคลดลง การทานยาลดระดับคอเลสเตอรอลนาน ๆ ทานยาสเตียรอยด์เป็นประจำ ในบางรายก็เกิดจากความดันอาการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เช่น ขณะโดยสารเครื่องบิน

3.โพรงจมูกอักเสบ
มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส เป็นภูมิแพ้ที่อาจทำให้เกิดอาการจามรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ไซนัสอักเสบ ใช้เครื่องอัดอากาศขณะหลับ รวมถึงสภาพอากาศที่แห้งจัด ชื้น ร้อนจัดก็ส่งผลกระตุ้นอาการภูมิแพ้จนทำให้โพรงจมูกอักเสบได้ด้วยเช่นกัน จะมีอาการคัด แน่นจมูกข้างเดียวหรือสองข้าง อาจมีหูอื้อ ปวดหัวเป็นไข้ร่วมด้วย จะมีเลือดไหลปนออกมากับน้ำมูก

4.เป็นโรคอันตราย
มักจะเกิดในส่วนหลังของโพรงจมูกซึ่งเป็นบริเวณที่มีสารพิษ ฝุ่นควันตกค้างได้ง่าย ได้แก่ วัณโรคในโพรงจมูก, เนื้องอกในโพรงจมูก โรคนี้จัดเป็นโรคร้ายแรงสำหรับเด็กที่มักพบในเด็กชายช่วงอายุประมาณ 7-19 ปี, มะเร็งโพรงจมูก มีอาการคล้ายไข้หวัดจึงอาจเข้าใจผิดว่าเป็นหวัดและปล่อยให้เรื้อรังจนถึงขั้นรุนแรง

5.ความผิดปกติทางกายวิภาคในโพรงจมูก
ตัวอย่างเช่น ผนังกั้นช่องจมูกคด, กระดูกงอกผิดที่ รวมถึงมีรูทะลุทำให้อากาศไม่สมดุล ซึ่งเลือดกำเดาจะไหลซ้ำ ๆ ข้างเดียวในตำแหน่งที่กระดูกผิดปกติ

หากมีอาการเลือดกำเดาไหลจากจมูกข้างเดียวบ่อย ๆ มีปริมาณมาก เป็นลิ่มเลือด หรือมีอาการไหลต่อเนื่องนานเป็น 10 นาที อาจมีอาการคัดจมูก หูอื้อ เหมือนจะเป็นหวัดแต่ไม่หายสักทีแถมมีเลือดปนออกมากับน้ำมูก หรือรู้สึกว่ามีก้อนในคอหรือโพรงจมูก หากพบอาการเหล่านี้ให้รีบพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดต่อไป

เปิดเคล็ดลับแต่งหน้าสุดว้าวเพื่อลุคผิวสวยติดทนนาน

การแต่งหน้าแล้วไม่ไหลเยิ้มคือความฝันของหลายคน เนื่องด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและมลภาวะต่าง ๆ ในอากาศการแต่งหน้าให้อยู่ทนตลอดวันจึงเป็นเรื่องที่จำเป็น ใครที่กำลังมองหาเทคนิคการแต่งหน้าสุดปังเพื่อผิวสวยติดทนนานตามไปดูเคล็ดลับนี้กันได้เลย

1.บำรุงผิวหน้าด้วยครีมบำรุงผิวในตอนเช้าก่อนแต่งหน้ารวมทั้งตอนกลางคืนอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากยิ่งขึ้น โดยถ้าผิวมีความชุ่มชื้นไม่แห้งกร้าน โอกาสในการติดทนของเครื่องสำอางก็จะมีมากขึ้น ซึ่งต้องทำความรู้จักกับสภาพผิวของตนเองก่อนว่าเป็นผิวประเภทไหน ยกตัวอย่างเช่นผิวมันก็ควรเลือกครีมบำรุงผิวที่มีเนื้อบางเบา ไม่หนักผิว ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน เป็นต้น

2.เลือกใช้ไพรเมอร์ลงก่อนเครื่องสำอางตัวอื่น ๆ หลังจากที่ทาครีมบำรุงและกันแดดแล้ว ให้ลงไพรเมอร์ให้ทั่วใบหน้าหรือทาบริเวณที่ต้องการให้เครื่องสำอางติดทนนานมากขึ้น โดยไพรมอร์นั้นจะช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้พร้อมรับการลงเมคอัพในขั้นตอนถัดไป ทำให้เครื่องสำอางติดทนบนใบหน้าได้นานยิ่งขึ้น

3.ฉีดสเปรย์น้ำแร่เพื่อเป็นการเติมความชุ่มชื้นและล็อกเมคอัพให้อยู่ทนนานตลอดทั้งวัน ยิ่งในทุกวันนี้ที่ต้องใส่หน้ากากอนามัยระหว่างวัน โอกาสที่เครื่องสำอางจะเลอะเปรอะแมสก็ค่อนข้างมาก วิธีการนี้จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทนได้นานขึ้นและไม่เลอะมาเปรอะเปื้อนแมสด้วย

4.เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณสมบัติกันน้ำ กันเหงื่อ คุมมันสำหรับใครที่ต้องออกไปทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อย ๆ มีผิวมัน ก็จะช่วยให้เครื่องสำอางติดทนกับผิวได้นานขึ้น ไม่ไหลเยิ้มระหว่างวัน ซึ่งควรที่จะทดสอบการระคายเคือง การแพ้ของผิวด้วยว่าสามารถใช้กับผิวของตนเองได้หรือไม่ รวมทั้งการเช็ดทำความสะอาดก็จะต้องใช้คลีนซิ่งที่เหมาะสำหรับเครื่องสำอางประเภทกันน้ำด้วย

5.พักผ่อนด้วยการนอนหลับอย่างเหมาะสม นอกเหนือไปจากสกินแคร์ต่าง ๆ แล้วการดูแลตนเองด้วยการนอนหลับก็จะช่วยปรับสมดุลของน้ำใต้ชั้นผิวให้ดีขึ้นได้ ผิวจะไม่ดูโทรม ดูอ่อนล้า ขาดน้ำ ถ้ามีการทาครีมบำรุงควบคู่กันกับการนอนหลังบที่เพียงพอในแต่ละวัน ช่วยส่งเสริมให้ผิวดูอิ่มฟู มีสุขภาพผิวที่ดูดีมากยิ่งขึ้น

บอกเลยว่าทั้ง 5 เคล็ดลับที่ได้แนะนำไปนั้นเป็นขั้นตอนการแต่งหน้าเพื่อผิวสวยติดทนนานที่เหมาะทั้งสำหรับมือใหม่และมืออาชีพ ใครที่อยากแต่งหน้ารอบเดียวไม่ต้องคอยเติมเครื่องสำอางระหว่างวันและไม่ต้องกังวลเรื่องเครื่องสำอางไหลเยิ้ม สามารถนำวิธีการแต่งหน้าข้างต้นไปปฏิบัติตามได้ ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถใช้ได้จริงเหมาะกับหลากหลายสภาพผิว

เช็กรถก่อนเดินทาง เตรียมความพร้อมให้ชัวร์ ก่อนออกทัวร์อย่างมั่นใจ

หากคุณเป็นนักเดินทางที่มักจะชื่นชอบในการใช้รถยนต์ในการขับขี่เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ด้วยตนเอง สิ่งสำคัญที่คุณจะหลีกเลี่ยงต่อการคำนึงถึงไม่ได้เลยแน่นอนนั่นก็คือเรื่องของการเตรียมความพร้อมด้วยการ เช็ครถก่อนเดินทาง เพราะการขับขี่เดินทางไม่ว่าจะใกล้หรือไกลได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยที่สุด แน่นอนว่าการเตรียมความพร้อมสิ่งเหล่านี้ให้ชัวร์ก่อนออกทัวร์คือสิ่งที่ผู้ขับขี่มองข้ามไม่ได้เด็ดขาด
เช็กรถก่อนเดินทาง ต้องโฟกัสเรื่องอะไรบ้าง?

1. แบตเตอรี่ เริ่มกันที่หัวข้อแรกกันเลยกับการเตรียมความพร้อมในการ เช็ครถก่อนเดินทาง อันเป็นหัวข้อแรกๆ ที่ผู้ขับขี่จะต้องคำนึงถึงนั่นก็คือเรื่องของการใช้งานแบตเตอรี่ ซึ่งเหตุที่ว่านั้นมีผลมาจากว่ารถยนต์ในแต่คันนั้นต่างก็ย่อมมีการใช้แบตเตอรี่ในรูปแบบที่ต่างกันเช่น หากเป็นรถยนต์ประเภทต้องเติมน้ำกลั่น ผู้ขับขี่ก็จำเป็นที่จะต้องคอยตรวจเช็กน้ำให้อยู่ในมาตรฐานอยู่เสมอหรือหากเป็นแบบแห้ง ผู้ขับขี่ก็จะต้องคอยหมั่นตรวจเช็คสภาพโดยรวม เพื่อเฝ้าระวังการเสื่อมสภาพของแบตเตอรี่นั่นเอง
2. น้ำมันเครื่อง ประการสำคัญลำดับที่ 2 ของการเช็คความพร้อมรถยนต์ก่อนออกเดินทางต้องยอมรับว่าการตรวจเช็คน้ำมันเครื่อง ควรจะเป็นการตรวจสอบอยู่เป็นประจำเพื่อตรวจเช็กความผิดปกติและไม่ควรละเลยกำหนดในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องอย่างเด็ดขาด เพราะรู้หรือไม่ว่าน้ำมันเครื่องเปรียบเสมือนเป็นกลไกสำคัญที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพที่สุดนั่นเอง
3. ยางรถยนต์ ถัดมากับอีกหนึ่งการ เช็ครถก่อนเดินทาง ผู้ขับขี่ทุกท่านควรจะหมั่นตรวจสอบคุณภาพยางทุกท่านก่อนเดินทางเสมอไม่ว่าจะทั้งลมยางหรือดอกยาง ซึ่งในขั้นตอนแรกของการจตรวจเช็กนั่นก็คือการตรวจสอบลมยางให้ดีก่อนว่าปริมาณลมยางของเรานั้นตรงกับมาตรฐานที่ควรหรือไม่ เพราะหากยางรถยนต์ของเราหมดสภาพเมื่อไหร่โอกาสที่จะเกิดอุบัติเหตุ ย่อมสามารถเกิดขึ้นได้แน่นอน
4. เบรกรถยนต์ สิ่งสำคัญของการตรวจ เช็กรถก่อนเดินทาง ที่คุณจะไม่สามารถละเลยอย่างเด็ดขาดต้องบอกเลยว่าเรื่องของเบรกรถยนต์นั้นสำคัญมาก ๆ เป็นอันดับต้นๆ เพราะฉะนั้นผู้ขับขี่ก็ควรตรวจเช็กน้ำมัน, จานเบรก, ปั๊มลม และที่สำคัญนั้นควรจะมีน้ำมันเบรกสำรองไว้ด้วยอุ่นใจที่สุด
5. หม้อน้ำ ลำดับสุดท้ายของการ เช็กรถก่อนเดินทาง เรื่องของหม้อน้ำนั้นถือว่าเป็นอีกประการสำคัญที่ต้องนึกถึงอันดับต้น ๆ ด้วยการหมั่นสังเกตเกจ์วัดระดับความร้อนตรงหน้าปัดให้ตรงอยู่ในเกณฑ์อยู่เสมอ เหตุก็เพื่อเป็นการป้องกันการเกิดความร้อนจนเกินขีดจำกัดที่อาจส่งผลเสียหายต่อเครื่องยนต์ได้นั่นเอง

และนี่ก็คือวิธีการ เช็กรถก่อนเดินทาง ที่หากใครกำลังมีความต้องการที่จะต้องใช้รถยนต์ในการขับขี่ออกเดินทางขอบอกเลยว่า 5 วิธีในการเช็กรถยนต์เหล่านี้สามารถช่วยป้องกันคุณจากอุบัติเหตุที่อาจสามารถเกิดขึ้นได้โดยที่ไม่อาจคาดคิด ถ้ารู้ก่อนป้องกันก่อนดีที่สุด แม้แต่การลงทุน หุ้น หวย แทงบอล ก็เช่นกัน ถ้าเกิดไม่วิเคราะห์บอลคู่นั้นหรือดูการตลาดหุ้นและเลขเด็ดก่อนลงทุน ก็อาจจะพลาดได้

10 ประโยชน์ถั่วฝักยาวดีต่อสุขภาพ

ถั่วฝักยาวเป็นหนึ่งในพืชตระกูลถั่วที่คนไทยนิยมรับประทาน ปลูกง่ายได้ผลผลิตเร็ว นิยมปลูกเป็นผักสวนครัวประจำบ้าน และปลูกเป็นอาชีพสำคัญชนิดหนึ่งของเกษตรกรไทย สามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิดทั้ง ต้ม ยำ ผัด แกง ทอด เป็นเครื่องเคียงลดความจัดจ้านของอาหารให้กลมกล่อมขึ้น สามารถรับประทานได้ทั้งดิบและสุก

ถั่วฝักยาวมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ได้แก่ วิตามินซี วิตามินเอและบี1 แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม และโปรตีน นำมาซึ่ง 10 ประโยชน์ของถั่วฝักยาวได้แก่

1. วิตามินซี ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่เป็นหวัดง่าย

2. ช่วยป้องกัน และรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน

3. ช่วยบำรุงผิวพรรณ ด้วยมีวิตามินซีสูงจึงช่วยดูแลผิว ลดริ้วรอย ลดรอยแดง ยืดอายุผิว และสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว ดีต่อระบบหลอดเลือด และเส้นเอ็น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

4. ช่วยบำรุงสายตา ด้วยคุณสมบัติของวิตามินเอ และวิตามินบี 1 ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันภาวะประสาทตาเสื่อม ป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตา เช่น โรคต้อกระจก ต้อหิน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการมองเห็น

5. ช่วยให้หลับสนิท เนื่องจากมีแมกนีเซียมสูง ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ช่วยคลายความเครียด เพิ่มความผ่อนคลาย ลดความเครียด วิตกกังวล อันเป็นสาเหตุของการนอนไม่หลับ

6. แคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูก ทำให้กระดูกและฟันแข็งแรง ป้องกันโรคกระดูกพรุน

7. ฟอสฟอรัส ช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน ช่วยลดไขมันส่วนเกิน เป็นตัวช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

8. ดีต่อระบบขับถ่าย ช่วยลดคอเลสเตอรอล เนื่องจากอุดมไปด้วยกากใย ซึ่งมีกากใยชนิดที่ไม่ละลายน้ำซึ่งจะช่วยทำให้อิ่มเร็ว (ลดการรับประทานอาหารในปริมาณมาก) และช่วยให้ขับถ่ายได้ดี และชนิดละลายน้ำซึ่งจะทำปฏิกิริยากับกรดในกระเพาะสร้างสารประเภทเจลลาตินไปเคลือบกระเพาะอาหารช่วยลดคอเลสเตอรอล

9. คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลต่อสุขภาพ พร้อมปริมาณ ๆไฟเบอร์จำนวนมาก ช่วยให้น้ำตาลย่อยช้าลง จึงควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดี และช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้

10. ชะลอความชรา ในถั่วฝักยาวสีม่วงยังมีปริมาณสารแอนโธไซยานินสูงกว่าถั่วฝักยาวทั่วไป ซึ่งมีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระสูงกว่าวิตามินซี และอีถึง 2 เท่า ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ดูอ่อนกว่าวัย

อย่างไรก็ตามแม้ถั่วฝักยาวจะมีประโยชน์มากมายดังกล่าวข้างต้นแต่แนะนำให้รับประทานในแบบต้มสุกจะปลอดภัยกว่า เนื่องจากในถั่วฝักยาวดิบมีแก๊สค่อนข้างมากอาจทำให้ท้องอืด นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงในการแพ้อาหาร ท้องเสีย หรือมีอาการวิงเวียนศีรษะได้เพราะมี “ไกลโคโปรตีน และเลคติน” อยู่มาก ในผู้สูงวัยควรต้มให้สุกเพื่อให้เคี้ยวบดละเอียดง่ายต่อการย่อยป้องกันปัญหาการอุดตันในลำไส้ และที่สำคัญควรล้างให้สะอาดก่อนต้มทุกครั้งเพื่อป้องกันการตกค้างของยาฆ่าแมลง

เปิดมุมความคิดเชิงบวกสร้างพลังใจ อ่อนแอบ้างก็ได้

ใครบ้างไม่เคยมีน้ำตา ใครบ้างไม่เคยอ่อนล้าโรยแรง ใครบ้างที่แกร่งได้ตลอดเวลา ใครบ้างที่ก้าวกล้าแต่เพียงลำพังคนเดียวได้ตลอดไป คำตอบคือไม่มีหรอก มนุษย์เป็นสัตว์สังคมธรรมชาติสร้างมาให้อยู่ด้วยกันมากกว่า 1 ชีวิต ซึ่งน่าจะหมายถึงว่ามนุษย์ควรต้องพึ่งพาอาศัย เกื้อกูลกัน ยินดีต่อกัน สนับสนุนช่วยเหลือกัน เป็นที่พึ่งกันได้ทั้งทางกายและทางใจ เพราะไม่มีมนุษย์คนใดสมบูรณ์พร้อม ในวันที่เราไม่ไหว เราไม่สามารถจะเยียวยาตัวเองได้ก็ปล่อยให้ตัวเองอ่อนแอบ้างก็ได้

มนุษย์ทุกคนอยากเป็นคนเข้มแข็ง เก่งกล้าสามารถ ประสบความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับของคนอื่น อยากให้ตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกคน เราจึงเผลอนิยามความเป็นคนเก่งว่า คนเก่งต้องไม่ร้องไห้ ต้องไม่อ่อนแอ อยากสำเร็จห้ามอ่อนแอ ความอ่อนแอเป็นอาการของคนแพ้เท่านั้น แท้ที่จริงแล้วเรากำลังตกลงไปในหลุมพรางแห่งความเข้าใจผิด เมื่อเจอโจทย์หนัก กายใจต้องการพักคนเก่งและแกร่งแค่ไหนก็ต้องอ่อนแอได้ อ่อนแอแล้วได้อะไร

เปิดโอกาสให้คนอื่นได้แสดงมุทิตาจิต ในวันที่เราแกร่งเราดำเนินกิจกรรมชีวิตด้วยตัวของเราเองแทบจะทั้งหมดจึงแทบจะปิดโอกาสที่จะให้คนอื่นได้ดูแลเลย แต่เมื่อถึงวันที่เราอ่อนแอมีกัลยาณมิตรมากมายอยากแสดงมุทิตาจิตกับเรา อยากแสดงความกตัญญู อยากตอบแทน อยากเติมเต็มสิ่งที่ขาดหาย อยากเป็นคนสำคัญที่คอยอยู่เคียงข้าง ฯลฯ โอกาสที่ปิดมาโดยตลอดก็ถูกเปิดออกเมื่อเรายอมรับว่าเราอ่อนแอ ซึ่งเท่ากับเราได้เปิดประตูสุขให้กับคนอื่นด้วยเช่นกัน

เรียนรู้ชีวิตในอีกมุมหนึ่ง เราจะเห็นว่าเหรียญมีสองด้าน มีวันสดใสแล้วมันก็มีวันมืดดำ ในวันที่เรามีชัยชนะเราได้ยิ้มสุดใจ แต่วันที่เราไม่ไหวเราก็ไม่ต้องฝืนตัวเองให้เกินกำลัง พัก และเว้นวรรคปล่อยให้ตัวเองได้อ่อนแอบ้างนับเป็นการเติมพลังให้ทางอ้อม แล้วมันจะเป็นบทเรียนให้เราเข้าใจคำว่าไม่จีรัง หากวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องอ่อนแออีกครั้งเราก็จะมีภูมิต้านทานติดตัวไปเราจะอ่อนแอแบบฉลาดมากขึ้นและกลับมาเข้มแข็งได้เร็วขึ้น

สลายความเครียด ในวันที่ได้ร้องไห้ ปล่อยให้คนอื่นพยุง ปรุงรสด้วยธรรม คำสอนดี ๆ มีโอกาสได้ไปในที่ๆที่ไม่เคยคิดจะไป ได้ระบายเรื่องที่เก็บกดบีบคั้นในใจ ประสบการณ์แปลกใหม่นี้ จะช่วยทำให้สมองโปร่ง โล่งสบาย ปลดปล่อยความเครียดที่กดทับสะสมให้พ้นร่างกาย และจิตใจของเราได้โดยอัตโนมัติ

ค้นพบมิติใหม่ ๆ ในการดำเนินชีวิต ในวิกฤติมีโอกาสเสมอ ในความมืดดำย่อมมีแสงสว่าง หากเรายอมรับในสภาวะที่เราเป็นจิตเราจะปล่อยวาง เรียนรู้เข้าใจ มีสติที่จะมองหาแสงสว่างในความมืดมิดชัดเจนขึ้น

ถ้าไม่เคยอ่อนแอก็จะไม่รู้คุณค่าของความเข้มแข็ง ถ้าไม่เคยหมดแรงก็จะไม่รู้คุณค่าของคนที่คอยพยุง ทุกสิ่งมีเกิดย่อมมีดับ มีวันรุ่งก็ต้องมีวันรางจางหาย เหนื่อยนักก็ต้องรักที่จะเรียนรู้การพักวาง เว้นวรรคให้ชีวิตได้ปรับได้ปรุงเตรียมความพร้อมให้สูงขึ้นอีกระดับ ความสำเร็จไม่ได้มาจากความเข้มแข็งเพียงอย่างเดียวแต่ยังมีความโดดเดี่ยว อ่อนแอเป็นครูที่ทรงอานุภาพด้วย เราจึงอยากบอกว่า “อ่อนแอบ้างก็ได้นะ”

4 เทคนิค ออมเงินอย่างไรให้มีเงินเก็บ!

การออมเงินเป็นเรื่องที่ดี เพื่อที่จะได้มีเงินเก็บในจำนวนที่มากขึ้นหรือนำไปใช้จ่ายในยามฉุกเฉินได้ ซึ่งเรามีเทคนิคง่าย ๆ มาแบ่งปันดังนี้

1. ออมอย่างมีเป้าหมาย

ในการเริ่มต้นการออมนั้น ก่อนอื่นควรมีการตั้งเป้าหมายในการออมเงินก่อน โดยอาจตั้งเป้าหมายในระยะสั้นหรือระยะยาวก็ได้ ตามวัตถุประสงค์ในการออม หรืออาจจะมีการตั้งเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาวร่วมกันก็ได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ตั้งเป้าหมายว่าจะเก็บเงินออมให้ได้ปีละประมาณ 2 แสนบาท ดังนั้น ต้องมีเงินเก็บเดือนละประมาณ 1หมื่นกว่าบาท

2. ออมหลากหลายรูปแบบ

รูปแบบการออมนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีข้อดี ข้อเสีย และผลตอบแทนที่แตกต่างกัน เช่น

การออมในบัญชีธนาคาร : ข้อดี คือ สามารถนำออกมาใช้ยามฉุกเฉินได้ง่าย ข้อเสีย คือ อัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ

การออมทอง : การออมทองจะเรียกอีกอย่างว่าการลงทุนกับทองคำก็ได้เช่นกัน ข้อดี คือ ผลตอบแทนสูง ข้อเสีย คือ ในระยะสั้นราคาอาจมีความผันผวน หากต้องการผลตอบแทนที่สูงและคุ้มจริง ๆ ควรเป็นการลงทุนในระยะยาว

การออมในกองทุน : ข้อดี คือ ได้ผลตอบแทนที่สูง ข้อเสีย คือ มีความเสี่ยงที่สูงกว่าการออมในบัญชีธนาคาร ดังนั้นควรพิจารณาเปรียบเทียบผลตอบแทนกับความเสี่ยงก่อน

3. ออมอย่างมีวินัย

สิ่งสำคัญในการออมเงินให้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้นั้น คือ การสร้างนิสัยการออมอย่างมีวินัย โดยควรหักเงินจากรายได้ก่อนเลยว่าต่อเดือนจะเป็นเงินเก็บเท่าไร อาจกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ หรือกำหนดเป็นยอดเงินก็ได้ เพื่อให้หักเงินไปเป็นเงินเก็บก่อน และทำให้เรามีเงินออมตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ทึกเดือนอย่างสม่ำเสมอ

ต่างจากวิธีที่รอเงินเหลือจากรายจ่ายแล้วค่อยนำมาออม ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ค่อยมีประสิทธิภาพเท่าที่ควร เพราะบางเดือนอาจมีค่าใช้จ่ายสูงทำให้จำนวนเงินที่ได้ออมมีลดน้อยลง การออมไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้

4. ออมอย่างยืดหยุ่น

ในแต่ละเดือนนั้นอาจมีค่าใช้จ่ายที่เราไม่คาดคิดเกิดขึ้น ดังนั้นแผนการออมที่ดีควรเป็นแผนที่มีความยืดหยุ่น เหมาะสมกับ Lifestyle และพฤติกรรมด้านการเงินของเราดีที่สุด

การออมถือเป็นเรื่องที่ดีและทุกคนควรทำเพื่อความมั่นคงทางการเงินแต่ถ้าเราเคร่งครัดมากเกินไปอาจทำให้เครียดและส่งผลต่อคุณภาพชีวิตก็ได้ ดังนั้นแนะนำว่าให้ออมอย่างมีวินัยแต่มีความยืดหยุ่น เช่น บางเดือนอาจมีช้อปปิงบ้าง หรือกินอาหารมื้อดี ๆ บ้าง เพื่อให้รางวัลชีวิตกับตนเองให้เราได้มีพลังมีแรงในการหาเงิน หารายได้เพิ่มต่อไป

พฤติกรรมการกินผิดปกติ ร้ายกว่าที่คิด ต้องรีบรักษา

พฤติกรรมการกินผิดปกติเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย เกิดจากความกังวลเรื่องน้ำหนักตัวมากเกินไปทำให้น้ำหนักตัวมากหรือน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยกว่าครึ่งอดอาหารเพื่อลดน้ำหนัก อีกส่วนที่เหลือมักจะกินแล้วล้วงคอ มาดูกันว่าพฤติกรรมการกินแบบไหนเข้าข่ายผิดปกติและควรแก้ปัญหานี้อย่างไร

พฤติกรรมการกินผิดปกติมีความสัมพันธ์กับโรคทางจิตเวช

-โรคคลั่งผอม เป็นประเภทที่กลัวน้ำหนักขึ้น อดอาหารทั้งที่หิวและน้ำหนักอาจต่ำกว่าเกณฑ์อยู่แล้ว

-โรคล้วงคอ เป็นประเภทกินมากแล้วไปล้วงออก กินยาระบาย หรือออกกำลังกายหนัก เพราะไม่อยากอ้วน

-โรคกินไม่หยุด เป็นประเภทกินเร็ว กินมาก ควบคุมตัวเองไม่ได้ กินจนแน่นแล้วรู้สึกผิดจึงล้วงคออาเจียนออกมา

-โรคเลือกกินอาหาร เป็นประเภทช่างเลือกและกินน้อยผิดปกติ ไม่กังวลเรื่องน้ำหนักหรือรูปร่าง ข้อเสียคือเจ็บป่วย เกิดภาวะขาดสารอาหาร น้ำหนักตัวลด โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือด อาจทำให้เสียชีวิตได้

-โรคคลั่งกินคลีน เป็นประเภทเลือกกินเฉพาะอาหารสุขภาพ เช็คส่วนประกอบและโภชนาการก่อนกิน อาจงดอาหารบางชนิดที่คิดว่าไม่ดีต่อสุขภาพไปเลย เช่น น้ำตาล คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เนื้อสัตว์

การพิถีพิถันเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์เป็นเรื่องดี แต่ความวิตกกังวลและช่างเลือกมากเกินไปเป็นปัญหาส่งผลให้เกิดพฤติกรรมการกินผิดปกติ ถือเป็นโรคที่อันตรายและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้ป่วยโรคทางจิตเวช

ข้อแนะนำการรักษาพฤติกรรมการกินผิดปกติ

ไม่ว่าใครก็มีปัญหาด้านการกินได้ โดยเฉพาะในกลุ่มวัยรุ่นที่ห่วงสวยและคำพูดของคนอื่นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิด เสียความมั่นใจในตนเองและเริ่มมีพฤติกรรมการกินผิดปกติโดยไม่รู้ตัว หากคุณกำลังประสบปัญหานี้และรู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะรับมือเพียงลำพัง เรามีวิธีการแก้ปัญหามาแนะนำดังนี้

-การรู้ตัวว่ามีพฤติกรรมผิดปกติเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ก่อนอื่นควรศึกษาเกี่ยวกับอาหารที่รับประทานเข้าไป ส่งผลต่อสุขภาพอย่างไร ถ้าไม่กินเข้าไปเลยจะเกิดอะไร เรียนรู้วิธีการกินที่เหมาะสมกินอย่างไรให้มีสุขภาพดี

-ควรเปิดใจกับเพื่อน ครอบครัว และนักบำบัดมืออาชีพ พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอความช่วยเหลือแก้ไขโดยเร็วที่สุด พฤติกรรมการกินที่ผิดปกติเป็นภาวะที่ร้ายแรง อาจส่งผลรุนแรงให้วัยเด็กและวัยหนุ่มสาวมีพัฒนาการช้ากว่าปกติ เกิดภาวะขาดสารอาหาร มีความเครียดและเจ็บป่วยอ่อนแอในระยะยาว

-ความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิด ผู้ป่วยต้องเริ่มคิดบวก เลือกคนที่คุณจะคุยด้วยและอยู่ท่ามกลางคนที่มองโลกในแง่ดี ไม่ฟังคำพูดเชิงลบหรือคำวิจารณ์ของคนอื่น ปรับพฤติกรรมการกินไปพร้อมกับการรักษาทางด้านสุขภาพจิต การรักษาจะต้องเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป หากผลักดันตัวเองมากเกินไปอาจส่งผลร้ายให้ยิ่งวิตกกังวลจนป่วยเป็นภาวะซึมเศร้ารุนแรง

พฤติกรรมการกินผิดปกติเกี่ยวกับกับโรคทางจิตเวช ต้องใช้ความอดทนและเวลาในการรักษา เพราะปัญหาไม่ได้หายไปในชั่วข้ามคืน การยอมรับว่าตนเองป่วยเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี จากนั้นเริ่มปรับนิสัยการกินและการใช้ชีวิต หากชอบออกกำลังกายก็ทำต่อไป หางานอดิเรกทำเสริมได้ยิ่งดี มีเวลาอ่านหนังสือ ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ มองสิ่งที่ชอบและทำได้ดีเพื่อให้รู้สึกดีกับตัวเอง มีความพอใจและภาคภูมิใจไม่ต้องไปแคร์คำพูดของคนอื่นอีก

วัยรุ่นชีวิตที่หายไป เมื่อต้องผจญวิกฤตโรคระบาด

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อคนทุกเพศ ทุกวัยและทุกอาชีพ โดยเฉพาะเด็กนักเรียนที่กำลังเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นตอนต้น ซึ่งเป็นวัยที่ติดเพื่อน เริ่มสนใจเรื่องเพศและความรุนแรงทางอารมณ์ เนื่องจากในช่วงอายุ 11-13 ปี เป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงทางร่ายกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียง, ความสูง, ฮอร์โมนรวมไปถึงเรื่องเพศที่เริ่มมีอารมณ์ทางเพศ บางรายอาจหมกหมุ่น จนรู้สึกผิดต่อตนเอง แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส ส่งผลให้การเรียนการสอนที่ต้องเปลี่ยนไป ไม่สามารถไปโรงเรียนเพื่อพูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากเพื่อนเฉกเช่นในสภาวะปกติ นานวันเข้าเริ่มกังวลเกี่ยวกับช่วงชีวิตวัยรุ่นที่หายไป การปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ๆ ในแบบปกติเปลี่ยนไป เกิดความเครียดและกังวลต่ออนาคตและสถานการณ์ในปัจจุบัน

ทำอย่างไรจึงจะผ่านปรากฏการณ์เหล่านี้ไปได้

ผู้ปกครองควรเฝ้าดูพฤติกรรมของเด็ก ๆ วัยรุ่น โดยเฉพาะความคิดในแง่ลบหรือพฤติกรรมเศร้าและกังวล ควรเข้าไปพูดคุยหรือพาทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการใช้ชีวิตหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือมือถือ เพื่อให้เด็กได้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น ๆ เพื่อลดความกังวลและความเครียดลงได้
อย่าดุ ด่า ลูก หรือใช้คำหยาบคายหากเขากระทำผิด ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวนอกจากเด็ก ๆ วัยรุ่นจะไม่ได้เจอเพื่อน ไม่ได้วิ่งเล่นกับเพื่อน ๆ แล้ว ยิ่งทำให้เด็กมีความเครียดสะสม หากทำอะไรผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ไม่ควรดุด่าหรือพูดจาไม่ดีกับลูก เพราะจะทำให้เด็กตีตัวออกห่างและก้าวร้าวมากขึ้นได้
สร้างพื้นที่ส่วนกลางที่ปลอดภัยให้แก่เด็ก และผู้ปกครองได้เปิดใจ เมื่อเด็กรู้สึกถึงความปลอดภัยและพร้อมที่จะเล่าระบายถึงปัญหาที่มีอยู่ ผู้ปกครองต้องเข้าใจและไม่เร่งรีบในการตัดสินปัญหาหรือสอน เพราะอาจทำให้เด็กถอยหนี
สิ่งที่เด็กเล่ามาควรเก็บเป็นความลับ เพราะบางครั้งอาจเป็นเพียงแค่การระบายของเด็ก ๆ วัยรุ่น คงไม่อยากทำซ้ำ ทวนซ้ำ ผู้ปกครองต้องค่อย ๆ หาวิธีในการแก้ไข อย่ารวบรัด ควรทำเป็นลำดับขั้นตอนในการแก้ไขปัญหาแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะหากช่วยเหลือแบบรวบรัด ก็จะทำให้เด็กรู้สึกว่าตนเองด้อยค่า ไร้ความสามารถ

หากผู้ปกครองและเด็ก ๆ ให้ความร่วมมือในการเปิดใจเพื่อที่จะระบายถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ก็จะช่วยให้สามารถผ่าวิกฤตนี้ไปได้ เพราะอย่าลืมว่าความอดทนของเด็ก ๆ วัยรุ่นมีน้อยกว่าผู้ปกครองเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้ปกครองต้องเข้าใจ ถึงการรอคอยของเด็ก ๆ ที่มักจะไม่สามารถทำได้ ทำให้หงุดหงิดจนระบายออกมาทางอารมณ์ที่กำลังแปรปรวนในขณะนั้นได้ ยิ่งในช่วงเวลาของการเรียนออนไลน์ มักจะส่งผลต่ออารมณ์ร่วมในการเรียนของเด็ก ๆ มาก เช่น การตอบคำถาม, ความสนใจของเด็ก หากเด็กตอบไม่ได้หรือเรียนแล้วไม่เข้าใจ อาจทำให้ไม่ร่วมตอบคำถามและไม่สนใจเรียนต่อไปได้

« Older posts Newer posts »

© 2024 KorSan

Theme by Anders NorenUp ↑